~~~~~~~~~
เธอเกิดที่ปากช่อง
เมื่ออายุหนึ่งสัปดาห์พ่อแม่นำเธอไปทิ้งไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง
ผ้าห่อหุ้มร่างน้อยเห็นแต่ใบหน้า เมื่อพระเปิดผ้าที่หุ้มเธอออกก็พบว่า ทารกหญิงไม่มีขาทั้งสองข้าง
ทารกเกิดมาไม่ครบสามสิบสองพ่อแม่จึงนำเธอไปทิ้ง
พระในวัดช่วยเลี้ยงทารกจนสองขวบแล้วส่งต่อให้โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯดูแล ระหว่างที่พยายามหาครอบครัวให้เด็ก สามีภรรยาชราคู่หนึ่งซึ่งเธอเรียกว่าปู่กับย่าเลี้ยงเธอ จนเมื่ออายุได้ห้าขวบก็มีชาวอเมริกันคู่หนึ่งรับเธอเป็นลูกบุญธรรม พาไปที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา
นี่คือบทที่หนึ่งของชีวิต กันยา เซสเซอร์
..................
สำหรับคนอื่นๆ ที่เกิดในสภาพพิการและถูกทอดทิ้งนี่ย่อมเป็นคำสาป แต่สำหรับเธอความไม่สมประกอบเป็นเพียงข้อแม้ข้อหนึ่งของชีวิต
โชคดีที่ใต้เงามืดเธอมองโลกในด้านดีสดใส
หลายปีให้หลัง กันยาเขียนว่า
“ตั้งแต่เล็กวิธีที่ฉันจัดการกับชีวิต คืออยู่โดยปราศจากข้อจำกัดและไม่กลัวที่จะทำสิ่งใหม่ๆ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ฉันไม่อาจทำได้จริงๆ ก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หยุดฉันให้ลองพยายามทำและหาทางทำในหนทางของฉันเอง”
เธอใช้ชีวิตเกินศักยภาพของเธอไปหลายเท่า
เด็กหญิงไร้ขาชอบเดินทางไปไหนมาไหนด้วยสเกตบอร์ดมากกว่ารถเข็นและพยายามเดินด้วยสองมือ
กันยาชอบเล่นกีฬาตั้งแต่เล็ก เธอหัดเล่นสเกตบอร์ดว่ายน้ำกระดานโต้คลื่น โมโนสกี เทนนิส รักบี้รถเข็น บาสเกตบอลรถเข็น แข่งรถเข็นคนพิการเบรกแดนซ์ ฯลฯ และเล่นได้ดี
เธอเข้าแข่งรถเข็นคนพิการ 100, 200 และ400 เมตร ที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอะริโซนาที่เธอเรียน
ไร้ขามิใช่ไร้ข้อจำกัด!
นี่คือบทที่สองของชีวิต กันยา เซสเซอร์
.................
ตอนอายุสิบห้า กันยาก็ก้าวไปอีกขั้น เธอเริ่มถ่ายแบบให้สินค้ากีฬา หลังจากนั้นก็ได้รับการทาบทามให้ถ่ายชุดชั้นในและเสื้อผ้า
ภาพถ่ายชุดชั้นใน เสื้อผ้าเครื่องกีฬาของเธอซึ่งเป็นสินค้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่สร้างความสนใจแก่คนทั้งโลก มันเปลี่ยนภาพลักษณ์ของวงการแฟชั่นไปตลอดกาล ทันใดนั้น ภาพของเธอก็ปรากฏในนิตยสารต่างๆ ทั่วโลก
เธอบอกว่าการถ่ายภาพสินค้าและชุดชั้นในสตรี
“อนุญาตให้ฉันเปลี่ยนกรอบคิดของคนทั่วไปเกี่ยวกับความพิการ”
โลกของนางแบบ ยังขาดความหลากหลายอย่างมาก ทั้งเชื้อชาติ สีผิว อายุ ส่วนใหญ่เป็นแบบเดียวกันหมด
“ฉันชอบแสดงตัวตนของฉันในทางที่แตกต่างจากที่คนอื่นปกติมอง นี่คือฉัน”
การเป็นนางแบบที่ไม่เหมือนคนที่มีร่างกายครบสามสิบสอง ย่อมสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้วงการ มันเป็นการจุดกระแสอย่างหนึ่งว่า คนพิการก็ทำได้ทุกอย่างเหมือนคนปกติ
ไร้ขามิได้ไร้ความสวย
เธอบอกว่า
“มีคนไม่มากนักมั่นใจที่จะพบความจริงว่า ตัวตนภายในของคุณแข็งแกร่งแค่ไหน คนส่วนมากปิดกั้นตัวเอง เพราะสังคมทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดในสถานการณ์ที่พวกเขาอยู่ คุณต้องสร้างทางที่แตกต่างสำหรับคุณเอง เพราะไม่มีใครทำมันเพื่อคุณ”
กันยาพิสูจน์ว่า ความสวยงามไม่จำเป็นต้องมาจากร่างกายที่สมบูรณ์เสมอไป มันอาจมาจากความแข็งแรง การสู้ชีวิต จิตใจที่มั่นคง ความมั่นใจในตัวเอง
กันยากำลังบอกคนทั้งหลายด้วยการกระทำว่า มาตรฐานของความสวยแบบเดิมนั้นไม่สมจริง อย่าให้มาตรฐานของสังคมเป็นสิ่งกำหนดตัวตนที่แท้จริงของเรา
เธอไม่คิดจะยึดอาชีพนางแบบ เธอทำเพราะรู้สึกสนุกเธอบอกว่า
“มันเล่าเรื่องของฉันว่า ฉันแตกต่าง และนั่นก็คือเซ็กซี่ ฉันไม่ต้องมีขาเพื่อรู้สึกเซ็กซี่”
เธอฝึกหนักเพื่อหวังจะได้ร่วมทีมชาติสหรัฐฯ เข้าแข่งขันโมโนสกีพาราลิมปิกปี 2018 ที่เกาหลี
“ชีวิตมีค่า และเรามีชั่วขณะนี้เท่านั้น ชีวิตเดียวไร้ขาไร้ขีดจำกัด”
นี่คือบทที่สามของชีวิตของ กันยา เซสเซอร์
...................
บทที่สี่ของชีวิตเธอ คือก้าวเข้าไปในโลกภาพยนตร์ในวัยสิบห้า เธอเข้าสู่วงการแสดง เป็นนักแสดงรับเชิญในหนังโทรทัศน์ เรื่อง Code Black (2015)
ฮอลลีวูด มักใช้คนปกติเล่นบทคนพิการ โอกาสที่คนร่างกายพิการจะรับบทที่ผู้เขียนตั้งใจเขียนให้คนพิการเล่นนั้นน้อยมาก
ในปี 2016 หนังโทรทัศน์ซีรีส์ Hawaii Five-0 ตอน He Moho Hou (S7 E3) เป็นเรื่องของตัวละครชื่อ Rosey Valera ผู้สูญเสียขาทั้งสองในสงคราม ผู้สร้างต้องการตัวละครที่พิการจริงๆ
อีกครั้งการปรากฏตัวของกันยา ในหนังเปลี่ยนกรอบคิดในโลกภาพยนตร์
ชีวิตของกันยาทั้งชีวิตหลุดจากกรอบเดิมที่ขีดเส้นว่า คนไม่ครบสามสิบสองควรยอมรับชะตากรรม
เธอปฏิเสธความเชื่อนี้ เป็นตัวของตัวเองยอมรับข้อแม้ที่โลกประทานให้แล้วเดินหน้าอย่างสง่างาม
“เมื่อฉันมองชีวิตมันไม่มีความพิการ ฉันไม่เห็นว่า นั่นคือความพิการ เพราะแม้ว่าฉันไม่มีขาทั้งสองข้าง ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ ฉันโชคดีที่มีสิ่งที่ฉันมี และนั่นก็คือทั้งหมดที่สำคัญ”
เธอเกิดมาไม่ครบสามสิบสอง แต่เธอใช้ชีวิตมากกว่าสามสิบสองหลายเท่า
..................
จากหนังสือใหม่ล่าสุด ‘มากกว่าสามสิบสอง’
...เมื่อเธอกลับมายังรพ.ปากช่องนครราชสีมา เธอสำนึกในความกรุณาเลี้ยงดูเธอมา เธอมอบเงินนับสิบล้านให้กับโรงพยาบาลปากช่อง
โดย วินทร เลียววาริณ
~~~~~~~~~~~