นิทานมีอะไรที่เป็นมากกว่า "เรื่องเล่า"
เพื่อความบันเทิงทางอารมณ์เท่านั้นทั้งนี้ก็เพราะว่าใน"นิทานเรื่องเล่า" เรื่องหนึ่งๆจะสื่อทะท้อนถึง"แนวนัยแห่งสัญญะ" ที่"ผู้ผูกแต่งเรื่องเล่า" นั้นๆต้องการสื่อแง่มุมคิดออกมาด้วยนิทานเรื่องเล่าคนที่มีใจเปิดกว้างต้องการจะถอดรหัสหรือสัญญะในนิทานเรื่องเล่าออกจำเป็นต้องแสวงหา"เครื่องมือ" หรือ"ไวยากรณ์แห่งนิทานเรื่องเล่า" ให้มีในตนคือ
1) ศึกษาเรียนรู้โดยการฟังและอ่านให้มีประสบการณ์ทางตาหูจมูกกายให้มากๆ
2) ฝึกคิดจินตนาการให้เป็นและให้เห็นแง่มุมคิดให้ได้มากกว่าหนึ่งแง่มุมคิดในเรื่องเล่าหนึ่งและ
3) ฝึกหัดวิเคราะห์แยกแยะและตีความ"ตัวบท" ให้เห็นเป็นประเด็นๆและพยายามอธิบายเหตุผลของการเป็นอย่างนั้นๆให้ได้ด้วยก็จะฟังและอ่าน"นิทานเรื่องเล่า" นั้นๆได้สนุกมีสาระและมองเห็นภูมิปัญญาของการผูกแต่งนิทานเรื่องเล่าและแนวนัยแห่งสัญญะที่ต้องการสื่อสะท้อนออกได้ดี
มีนิทานเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งซึ่งผู้เขียนได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ตอนอยู่ในวัดแต่ก็รู้เพียงว่าเป็น"นิทานเรื่องเล่า" ไม่ได้สาระอะไรมากจากนิทานเรื่องเล่านักเลยเพราะยังไม่มี"เครื่องมือ" หรือ"ไวยากรณ์แห่งเรื่องเล่า" อยู่ในตนเองก็คือนิทานเรื่อง"เทวดากับหนอน" ดังมีเนื้อหานิทานเรื่องเล่าอันเป็น"ตัวบท" ที่สามารถเล่าให้อ่านกันได้ดังนี้
เนื่อเรื่องเล่า..
"กาลครั้งหนึ่งมีชาย2 คนเป็นเพื่อนที่รักกันมากๆแต่นิสัยไม่เหมือนกันเลยคนหนึ่งเป็นคนมีใจบาปลุ่มหลงในอบายมุขต่างๆเช่นดื่มเหล้าเล่นการพนันชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำแต่บาปบุญกุศลไม่เคยทำส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนใจดีชอบทำแต่บุญกุศลให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอแต่ถึงแม้นิสัยและจิตใจจะแตกต่างกันคนทั้ง2 นี้ก็คบหาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไม่มีอุปสรรคใดๆทั้ง2 คนเมื่อสิ้นอายุขัยลงคนใจบุญก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์แต่คนใจบาปก็ได้ไปบังเกิดเป็นหนอนในกองอุจจาระณเวจกุฏีในวัดแห่งหนึ่ง
อยู่มาวันหนึ่งเทวดาก็คิดถึงเพื่อนที่เคยอยู่ในเมืองมนุษย์ด้วยกันมาก่อนอยากรู้ว่าเพื่อนตายแล้วได้ไปบังเกิดเป็นอะไรณที่ไหนจึงเล็งตาทิพย์ไปทั่วๆเพื่อสำรวจดูมายังโลกก็จึงรู้ว่าเพื่อนที่ตายแล้วนั้นได้ไปบังเกิดเป็นหนอนอยู่ในบ่อส้วมโบราณที่เรียกว่า"เวจกุฏี" ของวัดแห่งหนึ่งจึงให้รู้สึกสงสารเพื่อนของตนนั้นเป็นยิ่งนักจึงคิดอยากหาทางช่วยให้ได้ขึ้นมาอยู่บนสวรรค์ด้วยกันกับตนจึงไปปรากฏกายที่ปากหลุมส้วมนั้นและใช้พลังฤทธิ์เพื่อให้หนอนระลึกชาติและจำตนได้พอหนอนโผล่ขึ้นมาเห็นเทวดาเท่านั้นก็ดีใจจึงถามว่า "เป็นไงเพื่อนไม่ได้พบเจอกันนานสบายดีไหม?"
เทวดาก็ตอบว่า"เออข้าสบายดีเพื่อนแล้วเอ็งไปอยู่ที่ไหนมาว่ะ?" หนอนถามก็ได้รับคำตอบจากเทวดาว่า
"ข้าไปอยู่บนสวรรค์ว่ะรู้มั้ยตอนนี้เป็นเทวดาแล้วนะ" ซึ่งได้ฟังแล้วก็รับรู้และถามต่อว่า "อ้อเป็นเทวดาแล้วนี่แกจะไปไหนต่อล่ะ?"
เทวดาก็จึงบอกถึงการตั้งใจลงมาหาเพราะเห็นหนอนลำบากจึงนึกอยากจะมาชวนให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกัน
"สวรรค์ของเอ็งดียังไงวะถึงได้อุตส่าห์ลงมาชวนช้าไปอยู่ด้วยนะ?" หนอนชักถามด้วยความสงสัย
ก็ได้รับคำตอบจากเทวดาว่า"บนสวรรค์ที่ข้าอยู่นั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะสวยงามไปทั้งหมดงานการอะไรก็ไม่ต้องทำมีนางฟ้าสวยๆมากมายไว้ชื่นชมและก็เสพสุขได้อยากจะกินอะไรก็แค่นึกเอาเท่านั้นทุกอย่างก็จะลอยมาตามใจที่เราคิดได้เสมอๆเลย"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนอนก็ร้องขึ้นทันทีพร้อมกล่าวว่า "โธ่ๆ! ข้าละอดสงสารเอ็งไม่ได้เลยว่ะนี่เพิ่งจะรู้จริงๆว่าเอ็งไปมีชีวิตลำบากบนสวรรค์ก็วันนี้เองเพื่อนเอ๋ยเอาอย่างนี้เถอะเอ็งลงมาอยู่ด้วยกันกับข้าจะดีกว่ายังพอมีที่ว่างอยู่บ้างณสถานที่ข้าอยู่นี้ข้าพอจะช่วยเหลือเอ็งได้นะ"
เทวดาก็จึงถามหนอนบ้างว่า"อ้าวเฮ้ยส้วมที่อยู่ของเอ็งนี่ดีอย่างไรรึ?" ก็ได้รับคำตอบจากหนอนว่า "ก็ดีกว่าสวรรค์ของเอ็งหลายเท่าก็แล้วกันน่าคือจะมีหนอนตัวเมียสวยๆมาคอยเอาใจข้าอย่างมากมายเลยที่นี่บนสวรรค์นั้นถ้าเอ็งอบากจะกินอะไรก็จะต้องนึกเอาแบบนั้นเสียเวลาว่ะแต่ที่บ่อส้วมของข้านี่ไม่ต้องเสียเวลานึกอะไรให้เสียเวลาเลยเพียงข้าลืมตาอ้าปากเท่านั้นก็จะได้กินแล้วละเพื่อนเพราะทุกวันนี้ทั้งพระทั้งเณรและใครต่อใครต่างก็หมุนเวียนจัดเวรกันเอาอาหารดีๆมาส่งข้าจนเหลือเฟือเลยณที่นี้พวกข้าไม่ต้องเดือดร้อนอะไรเลย" เป็นคำชี้แจงอย่างภาคภูมิใจมากๆของเจ้าหนอน
แต่ทว่า....เทวดาพอได้ฟังคำตอบชี้แจงนี้แล้วก็ให้เบือนหน้าหนีพร้อมกับกล่าวว่า "เสียใจจริงๆนะเพื่อนเอ๋ยที่ช้าไม่สามารถลงมาอยู่ร่วมกับเอ็งได้ขอให้เพื่อนจงมีความสุขๆกับหมู่หนอนตัวเมียและอาหารอันโอชะของเอ็งต่อไปก็แล้วกันนะข้าขอลาไปก่อนล่ะ" แล้วก็ขอตัวลากลับสวรรค์ไปด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
กระนั้นหนอนก็ยังไม่ได้สำนึกคิดอะไรเลยยังคงภูมิใจที่จะอยู่กับหลุมกองขี้หรืออจจาระในส้วมโบราณต่อไปพร้อมกับบ่นด่าเชิงพูดเยาะเย้ยให้เพื่อนที่เกิดเป็นเทวดานั้นผู้ที่กำลังจะจากไปยังสวรรค์ว่า
เออถ้าเอ็งดื้อนักก็โชคดีนะโว้ยเพื่อนขอให้เอ็งจงมีความสุขๆกับเหล่านางฟ้าและอาหารทิพย์อะไรๆของเอ็งบนสวรรค์นั้นๆเถิดทางใครทางมันก็แล้วกันเอ็งนี่มันช่างโง่เง่าจริงๆเลย...!?"
สิ่งที่ได้รับ..
จากเนื้อหานิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" ที่เล่าแล้วข้างต้นนั้นย่อมมี"แง่มุมคิด" ที่ผู้ผูกแต่งนิทานเรื่องนั้ขึ้นเล่าเอาไว้โดยเฉพาะด้านแง่มุมคิดทางด้านการ"ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว" และการที่"เพื่อนช่วยเพื่อนแต่ถ้าถึงที่สุดแล้วช่วยไม่ได้ก็ต้องวางเฉย" และแง่มุมคิดทางด้านคู่ตรงข้ามกันของ"ผู้มืดมามืดไป" กับ"ผู้สว่างมาสว่างไป" และการเป็น"ผู้ติดถิ่นติดที่ติดกรอบความคิดแบเดิมๆ" กับการเป็น"ผู้ไม่ติดถิ่นไม่ติดที่ไม่ติดกรอบความคิดแบบเดิมๆ" ดังผู้เขียนขอวิเคราะห์และตีความอธิบายได้ดังนี้
1. แง่มุ่มคิดทางศาสนาด้านการ"ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว" เพราะในนิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" นั้นเพื่อนที่เกิดเป็นเทวดาเป็น"ตัวแทน" ในรูปสัญญะของการทำดีในขณะเป็นมนุษย์คือเป็น"คนใจดีชอบทำแต่บุญกุศลให้ทานและรักษาศีลอยู่เสมอ" จึงส่งผลให้ได้รับความดีหลังตายคือเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์มีนางฟ้าแวดล้อมตนมากมากและเสพเสวยสุขแบบเป็นทิพย์เป็นอย่างมากไม่ต้องทำงานอยากกินอยากได้อะไรๆก็เพียงน้อมนึกเอาเท่านั้นก็จะได้ตามนึกสมปรารถนาได้ซึ่งเป็นความหมายสัญญะ
ส่วนเพื่อนที่เกิดเป็นหนอนเป็น"ตัวแทน" ในรูปสัญญะของการทำความชั่วในขณะเป็นมนุษย์คือเป็น"คนใจบาปลุ่มหลงในอบายมุขต่างๆเช่นดื่มเหล้าเล่นการพนันชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำแต่บาปบุญกุศลไม่เคยทำ" จึงส่งผลให้ได้รับความชั่วหลังตายคือเกิดเป็นหนอนในกองหลุมขึ้หรืออุจจาตะณเว็จกุฏีในวัดแห่งหนึ่งโดยต้องอยู่และกินของสกปรกและมีกลิ่นเหม็นตลอดชีวิตซึ่งเป็นความหมายสัฐญะ
2. แง่มุ่มคิดทางศาสนาด้านการที่"เพื่อนช่วยเพื่อนแต่ถ้าถึงที่สุดแล้วช่วยไม่ได้ก็ต้องวางเฉย" โดยในนิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" นั้นเพื่อนที่เกิดเป็นเทวดามีความผูกพันกับเพื่อนที่เกิดเป็นหนอนในฐานะเป็นเพื่อนที่คบหากันมาในขณะเป็นมนุษย์แม้ว่าทั้ง2 จะมีนิสัยแตกต่างกันแต่ก็คบหาสมาคมกันได้ทั้งนี้เพื่อนที่เกิดเป็นเทวดาในขณะเป็นมนุษย์เป็นคนดีมีคุณธรรมคบหากับเพื่อนที่เป็นคนไม่ดีและไม่มีคุณธรรมเพียงเพื่อหวังว่าจะดึงเพื่อนที่"ตกอยู่" หรือ"จมปลักอยู่" ในหลุมคูถแห่งความไม่ดีงามนั้นๆให้"ขึ้นมา" หรือ"ถอนตนได้" จากการ"อยู่" หรือ"จมอยู่" ใน"หลุมปลักคูถ" แห่งการ"คิดชั่วพูดชั่วทำชั่ว" นั้นแล้วหันมา"คิดดีพูดดีทำดี" ให้ได้ในฐานะเป็น"เพื่อนแท้" ผู้เป็นกัลยาณมิตรของเพื่อน
เมื่อตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ก็ยังคิดถึงเพื่อนที่เคยผูกพันกันมาก่อนจึงเล็งมองหาด้วยตาทิพย์ว่าเพื่อนไปเกิดเป็นอะไรอยู่ณที่ไหนครั้นรู้ว่าเพื่อนตนไปตกอยู่ในฐานะและสถานที่ไม่ดีที่เต็มไปด้วยของสกปรกและมีกลิ่นเหม็นเช่นนั้นก็คิดหมายจะช่วยดึงเพื่อนตนขึ้นมาจากฐานะและสถานะนั้นจึงลงมาเพื่อหวังช่วยและก็ดึงเพื่อนขึ้นจากหลุมขึ้หรือกองคูถในส้วมโบราณนั้นโดยการให้"เปลี่ยนความคิดคำพูดการกระทำในทางถูกต้องดีงามชีวิตจึงจะเปลี่ยน" แต่เมื่อพบอีกว่าเพื่อนยืนยันที่จะเป็นและจะอยู่ในฐานะและสถานที่อย่างเดิมๆซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและมีกลิ่นเหม็นด้วยคิดว่าเป็นสิ่งดีงามแล้วเพราะเป็นสันดานที่แก้หรือช่วยดึงขึ้นได้ยากหรือไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปหรือปล่อยวางด้วยปัญญาโดยคิดเสียว่าตนในฐานะเป็นเพื่อนแท้ผู้เป็นกัลยาณมิตรทำดีที่สุดแล้วสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม(กมฺมุนาวตฺตตีโลโก) ด้วยเหตุนี้เทวดาจึงเลือกที่จะอำลาจากไปสู่สวรรค์โดยทิ้งให้หนอนเป็นไปตามกรรมของตนต่อไป
3. แง่มุมคิดทางด้านคู่ตรงข้ามของ"ผู้มืดมามืดไป" กับ"ผู้สว่างมาสว่างไป" โดยในนิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" นั้นเทวดากับหนอนถือเป็น"คู่ตรงข้ามกัน" ในเชิงแง่มุมคิดคือ:
1) หนอน ถือเป็น"ผู้มืดมามืดไป" คือเป็นผู้มีความโชคดีได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติที่แล้วแต่ว่ามีจิตใจมืดมิดด้วยความเห็นผิดในแบบ"ทำดีได้ดีมีที่ไหนทำชั่วได้ดีมีถมไป" และเพราะคิดชั่วมืดบอดด้วยความเห็นผิดดังนี้จึงหมกมุ่นในการทำชั่วช้าเลวทรามต่างๆในขณะเป็นมนุษย์ทำให้เมื่อตายลงจึงส่งผลกรรมให้มาเกิดเป็นหนอนในหลุมขี้หรือคูกณส้วมโบราณในวัดแห่งหนึ่งและยังหลงผิดติดอยู่กับการ"จมปลักคูก" ที่เต็มไปด้วยของสกปรกและมีกลิ่นเหม็นนั้นๆว่าเป็นสิ่งดีงามอยู่ตลอดดังจะเห็นได้จากความคิดเห็นที่บอกต่อเทวดาที่ชวนให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกันแต่ทว่ายังยืนยันที่จะอบู่ในหลุมคูกแห่งเว็จกุฏีนั้นต่อไปเพราะคิดและเชื่อเอาเองว่าเป็นถิ่นสถานที่ที่ดีมีสาวๆที่เป็นหนอนแวดล้อมตนสะดวกสบายไม่ต้องนึกจึงจะได้กินเหมือนอย่างเทวดาเพียงอ้าปากเท่านั้นอาหารที่เทวดามองว่าสกปรกและมีกลิ่นเหม็นนั้นแต่ถูกกลับมองว่าเป็นอาหารอันโอชะของเจ้าหนอนนั้นก็จะเข้าปากได้ทันทีโดยไม่ต้องนึกการมีความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) ของหนอนดังกล่าวแล้วนั้นคงไม่พ้นไปสู่"โลกแห่งความมืด" คือ"ทุคติ" หลังตายอีกแน่นอน
2) เทวดา ถือว่าเป็น"ผู้สว่างมาสว่างไป" คือเป็นผู้โชคดีเกิดเป็นมนุษย์ในชาติที่แล้วแต่ว่ามีจิตใจสว่างในทางธรรมด้วยความเห็นถูกต้องตามคลองธรรมแบบ"ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว" และเพราะคิดดีคิดถูกตามคลองธรรมดังนี้จึงเป็นคนดีและชอบทำคบามดีงามต่างๆในขณะเป็นมนุษย์จึงส่งผลกรรมให้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์มีนางฟ้าเป็นบริวารแวดล้อมและเสพเสวยสุขอันเป็นทิพย์อยู่ในวิมารอันสวยงามไม่ต้องงานเพื่อจะได้เพียงแค่น้องนึกเอาเท่านั้นก็จะได้สมปรารถนาได้และเทวดาจึงคิดหวังดีต่อเพื่อนของตนโดยชงมาชวยเพื่อที่เกิดเป็นหนอนให้ไปอยู่ด้วยกันหลังตายในฐานะเพื่อนแท้ผู้เป็นกัลยาณมิตรต่อเพื่อนเพียงแต่หนอนไม่รับคำชวนและคำแนะนำของเพื่อเท่านั้นการมีความเห็นถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ) ของเทวดาดังกล่าวแล้วนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจะไปสู่"โลกแห่งความสว่าง" คือ"สุคติ" หลังตายตามคติความเชื่อแนวพุทธ
4. แง่มุมคิดทางด้านคู่ตรงข้ามของ"ผู้ติดถิ่นติดที่ติดกรอบความคิดแบบเดิมๆ" กับ"ผู้ไม่ติดถิ่นไม่ติดที่ไม่ติดกรอบความคิดแบบเดิมๆ" โดยในนิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" นั้นเทวดากับหนอนถือเป็น"คู่ตรงข้ามกัน" ในแง่มุมคิดคือ:
1) หนอนได้ชื่อว่าเป็น"ผู้ติดถิ่นติดที่ติดกรอบความคิดแบบเดิมๆ" ย่อมจะเป็นอยู่แบบเดิมๆหวังความเจริญก้าวหน้าไดัยากเพราะการติดถิ่นติดที่ติดกรอบความคิดแบบเดิมๆย่อมไม่สามารถเห็นแง่มุมคิดใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้เพราะเหตุว่าจิตใจปิดตายไม่เปิดกว้างรับสิ่งใหม่ๆได้อีกแล้วซึ่งในนิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" นั้นหนอนไม่สมารถก้าวพ้นจากการ"จมปลักอยู่" ในหลุมขึ้คูถหรืออุจจาระณโลกแห่งส้วมโบราณหรือเวจกุฏีได้ก็เพราะไม่ยอมรับเพื่อนที่เป็นเทวดาผู้ซึ่งรู้และมองอะไรได้กว้างกว่าเพราะมองจากบนสวรรค์ลงมาด้านล่างจึงเห็นความจริงเชิงประจักษ์แล้วจึงมาชักชวนและแนะนำหนอนแต่ว่าหนอนไม่ยอมรับคำชักชวนและแนะนำของเทวดาแม้ว่าจะชักชวนและแนะนำด้วยความหวังดีอย่างไรจึงทำให้หนอนนั้นยังคงหล้าหลังยังคงอยู่ในหลุมคูถหรืออุจจาระณส้วมโบราณซึ่งเป็นโลกแคบนิดเดียวและยังล้าหลังไม่ดีงามอีกด้วยต่อไปมิอาจก้าวทันเทวดาบนสวรรค์ได้เลย
2) เทวดาได้ชื่อว่าเป็น"ผู้ไม่ติดถิ่นติดที่ไม่ติดกรอบความคิดแบบเดิมๆ" ย่อมจะไม่เป็นอยู่แบบเดิมๆหวังความเจริญก้าวหน้าไดัเพราะการไม่ติดถิ่นไม่ติดที่ไม่ติดกรอบความแบบเดิมๆจึงย่อมสามารถเห็นแง่มุมคิดใหม่ๆที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้มากเพราะเหตุว่าจิตใจไม่ปิดตายแต่เปิดกว้างรับสิ่งใหม่ๆทั้งความรู้และข้อมูลได้อีกมากซึ่งในนิทานเรื่องเล่า"เทวดากับหนอน" นั้นเทวดาสามารถก้าวหน้าเจริญเหนือกว่าหนอนมากๆผู้ที่ยัง"จมปลักอยู่" ในหลุมขึ้คูถหรืออุจจาระอันเป็น"โลกแคบๆแห่งส้วมโบราณหรือเวจกุฏี" นั้นต่อไปอยู่ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงตนโดยทำตนให้มีคุณภาพมากขึ้นจึงทำให้รู้และมองอะไรๆได้กว้างกว่าหนอนมากเพราะมองจากบนสวรรค์ลงมาด้านล่างจึงเห็นความจริงเชิงประจักษ์ในโลกที่หนอนเป็นอยู่นั้นได้อย่างชัดแจ้งตามจริงกว่าจึงมาชักชวนและแนะนำหนอนที่เป็นเพื่อนของตนให้ทำตนให้มีคุณภาพเพื่อเป็นอย่างตนได้บ้างแต่ว่าหนอนก็ไม่ยอมรับคำชักชวนและคำแนะนำของเทวดาเลยแม้ว่าคำชักชวนและคำแนะนำนั้นจะชักชวยและแนะนำด้วยความหวังดีอย่างมากก็ตามจึงทำให้หนอนนั้นยังคงหล้าหลังกว่าเทวดาในหลายก้าวมากๆคือขณะที่หนอนยังคงอยู่ในหลุมคูถหรืออุจจาระณส้วมโบราณนั้นอยู่ซึ่งเป็นโลกแคบนิดเดียวและยังล้าหลังมากๆทั้งยังไม่ดีงามอีกด้วยต่อไปมิอาจก้าวทันเทวดาบนสวรรค์ได้เลยแต่ว่าเทวดาที่ไม่ติดถิ่นติดที่และติดกรอบเพียงแบบเดิมๆทั้งในโลกแห่งมนุษย์และโลกแห่งเทวดาเช่นนั้นยังจะคิดทำตนให้ก้าวหน้าและพัฒนาตนต่อไปๆเพื่อก้าวไปสู่พรหมโลกและภาวะเหนือโลก(นิพพาน) ให้ได้ในอนาคตต่อไปด้วย
ผู้เขียนบอกแล้วว่านิทานเรื่องเล่ามิใช่เป็นเพียง"เรื่องเล่า" แต่ยัง"แฝงนัย" แห่ง"แง่มุมคิด" ในหลายแง่มุมเอาไว้ด้วยจึงขึ้นอยู่กับว่าผู้ฟังหรืออ่านนิทานเรื่องเล่านั้นๆแล้วจะถอด"รหัส" หรือ"สัญญะ" ที่ผู้ผูกแต่งนิทานเรื่องเล่าต้องการสื่อออกมาได้หรือไม่เท่านั้นผู้เขียนพอมี"เครืองมือ" หรือ"ไวยากรณ์แห่งนิทานเรื่องเล่า" อยู่ในตนบ้างจึงขอถอดรหัสหรือสัญญะออกมาอธิบายตามแนวทางของผู้เขียนเองเอาไว้และจากนิทานเรืองเล่า"เทวดากับหนอน" ในภูมิปัญาท้องถิ่นตามที่กล่าวแล้วนั้นผู้เขียนก็ยังได้พบแนวคิด"คู่ตรงข้ามกัน" คือเทวดากับหนอนซึ่งเป็นแนวคิดที่สามารถโยงเปรียบเทียบแนวคิด"คู่ตรงข้าง" ของพุทธศาสนาตามแนวพุทธประวัติซึ่งก็คือพระพุทธเจ้ากับมารแนวคิด"คู่ตรงข้าม" ของพลาโต้ที่ปรากฏในนิทานเรื่อง"ถ้ำของพลาโต้" คือคนหนีออกไปจากถ้ำกับคนยังติดอยู่ในถ้ำและแนวคิด"คู่ตรงข้าม" ของศาสนาคริสต์ในคัมภีร์ปฐมกาลซึ่งก็คือพระเจ้ากับซาตานอันผู้ฉลาดที่เข้าใจประเด็นดีอาจนำไปเชื่อมโยงและเปรียบเทียบกันได้จะสนุกได้สาระและออกอรรถรสมันส์ไปอีกแบบแน่นอนแต่ผู้เขียนไม่โยงและเปรียนเทียบให้อ่านกันดอกนะครับ555...!
-- ขอขอบคุณท่าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิญวัฒน์ โพธิ์สาน