เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

กรรมและผลของการกระทำ ๑๒ อย่าง

0

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกกรรมไว้ ๑๒ อย่าง คือ  ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อโหสิกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ ครุกกรรม ๑ พหุลกรรม ๑ ยทาสันนกรรม ๑ กฏัตตาวาปนกรรม ๑ ชนกกรรม ๑ อุปัตถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม   อุปฆาตกกรรม .

แยกเกี่ยวกับการให้ผล ดังนี้

กรรมกลุ่มที่  

=======

โดยปากกาล คือจำแนกเวลาที่ให้ผล

.๑ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม

บรรดากรรม๑๑อย่างนั้น(ไม่รวมอโหสิกรรมในบรรดา(ชวนะ จิตชวนะชวนเจตนาดวงแรกที่เป็นกุศลหรืออกุศลในชวนวิถีแรกชื่อว่า  ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม


ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้นให้ผลในอัตภาพนี้(ชาตินี้)เท่านั้นเช่นกรรมที่เป็นกุศลอำนวยผลในชาตินี้เหมือนกรรมของกากวฬิยเศรษฐีและปุณณกเศรษฐีเป็นต้นส่วนที่เป็นอกุศล(อำนวยผลในอัตภาพนี้และกรรมที่เป็นอกุศลเหมือนกรรมของนันทยักษ์นันทมาณพนันทโคฆาตภิกษุโกกาลิกะ  พระเจ้าสุปปพุทธะ  พระเทวทัต  และนางจิญจมาณวิกาเป็นต้นแต่เมื่อไม่สามารถให้ผลอย่างนั้น


.๒ อโหสิกรรม 

คือถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผลกรรมนั้น  พึงสาธกด้วยข้อเปรียบกับพรานเนื้ออุปมาด้วยนายพรานเนื้อเปรียบเหมือนลูกศรที่นายพรานเนื้อเห็นเนื้อแล้วโก่งธนูยิงไปถ้าไม่พลาด  ก็จะทำให้เนื้อนั้นล้มลงในที่นั้นเอง  ลำดับนั้นนายพรานเนื้อก็จะถลกหนังเนื้อนั้นออก  เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่  ถือเอาเนื้อไปเลี้ยงลูกเมียแต่ถ้าพลาดเนื้อจะหนีไปไม่หันกลับมาดูทิศนั้นอีกฉันใดข้ออุปไมยนี้ก็พึงทราบฉันนั้น


อธิบายว่าการกลับได้วาระแห่งวิบากของทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเหมือนกับลูกศรที่ยิงถูกเนื้อโดยไม่พลาดการกลับกลายเป็นกรรมที่ไม่มีผล  เหมือนลูกศรที่ยิงพลาดฉะนั้นฉะนี้แล


.๓ อุปปัชชเวทนียกรรม

ส่วนชวนเจตนาดวงที่ที่ยังประโยชน์ให้สำเร็จชื่อว่าอุปปัชชเวทนียกรรม

อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น  อำนวยผลในอัตภาพ(ชาติ)ต่อไปแต่ในบรรดากุศลอกุศลทั้งสองฝ่ายนี้  อุปปัชชเวทนียกรรมในฝ่ายที่เป็นกุศล  พึงทราบด้วยสามารถแห่งสมาบัติในฝ่ายที่เป็นอกุศล  พึงทราบด้วยสามารถแห่งอนันตริยกรรม  บรรดากรรมทั้งสองฝ่ายนั้นผู้ที่ได้สมาบัติจะเกิดในพรหมโลกด้วยสมาบัติอย่างหนึ่ง  ฝ่ายผู้กระทำอนันตริยกรรมจะบังเกิดในนรกด้วยกรรมอย่างหนึ่งสมาบัติที่เหลือและกรรม(ที่เหลือจะถึงความเป็นอโหสิกรรมไปหมด  คือเป็นกรรมที่ไม่มีวิบากแม้ความข้อนี้  พึงทราบตามข้อเปรียบเทียบข้อแรกเทอญ

.๔ อปรปริยายเวทนียกรรม

ก็ชวนเจตนาดวงที่เกิดขึ้นในระหว่างแห่งชวนะดวง(ชวนเจตนาดวงที่และชวนเจตนาดวงที่)ชื่อว่าอปรปริยายเวทนียกรรม

อปรปริยายเวทนียกรรมนั้น  ได้โอกาสเมื่อใดในอนาคตกาลเมื่อนั้นจะให้ผลเมื่อความเป็นไปแห่งสังสารวัฏฏะยังมีอยู่  กรรมนั้นจะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มีกรรมทั้งหมดนั้นควรแสดงด้วย(เรื่อง)พรานสุนัขเปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไปเพราะเห็นเนื้อจึงวิ่งตามเนื้อไปทันเข้าในที่ใดก็จะกัดเอาในที่นั้นแหละฉันใด 

กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันได้โอกาสในที่ใดก็จะอำนวยผลในที่นั้นทันทีขึ้นชื่อว่าสัตว์จะรอดพ้นไปจากกรรมนั้นเป็นไม่มี

 

กรรมกลุ่มที่ 

=======

โดยกิจคือ  จำแนกผลให้ตามหน้าที่

.๕ ชนกกรรม

กรรมที่ให้เกิดปฏิสนธิอย่างเดียวหรือกรรมที่นำให้เกิดไม่ให้เกิดปวัตติกาล(ขณะปัจจุบันกรรมอื่นย่อมให้เกิดวิบากในปวัตติกาลชื่อว่า  ชนกกรรม


อุปมาเสมือนหนึ่งว่ามารดาให้กำเนิดอย่างเดียวส่วนพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมฉันใด  ชนกกรรมก็เช่นนั้นเหมือนกันให้เกิดปฏิสนธิเหมือนมารดา(ส่วน)กรรมที่มาประจวบเข้าในปวัตติกาลเหมือนพี่เลี้ยงนางนม


.๖ อุปัตถัมภกรรม

ธรรมดาอุปัตถัมภกรรม  มีได้ทั้งในกุศลทั้งในอกุศล  เพราะว่าลางคนกระทำกุศลกรรมแล้วเกิดในสุคติภพ  เขาดำรงอยู่ในสุคติภพนั้นแล้วบำเพ็ญกุศลบ่อยสนับสนุนกรรมนั้นย่อมท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั่นแหละตลอดเวลาหลายพันปีลางคนกระทำอกุศลกรรมแล้วเกิดในทุคติภพ  เขาดำรงอยู่ในทุคตินั้น  กระทำอกุศลกรรมบ่อยสนับสนุนกรรมนั้นแล้วจะท่องเที่ยวไปในทุคติภพนั้นแหละ  สิ้นเวลาหลายพันปี


อีกนัยหนึ่งควรทราบดังนี้  ทั้งกุศลกรรมทั้งอกุศลกรรม  ชื่อว่าเป็นชนกกรรม 

ชนกกรรมนั้นให้เกิดวิบากขันธ์ทั้งที่เป็นรูปและอรูป  ทั้งในปฏิสนธิกาลทั้งในปวัตติกาล


ส่วนอุปัตถัมภกกรรมไม่สามารถให้เกิดวิบากได้แต่จะสนับสนุนสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบาก  ที่ไม่เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว  ย่อมเป็นไปตลอดกาลนาน


. อุปปีฬกกรรม

กรรมที่เบียดเบียนบีบคั้นสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว  จะไม่ให้(สุขหรือทุกข์นั้นเป็นไปตลอดกาลนานชื่อว่าอุปปีฬกกรรม


ในอุปปีฬกกรรมนั้นมีนัยดังต่อไปนี้เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผลอกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส)กุศลกรรมนั้นให้ผลแม้เมื่ออกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่  กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส)อกุศลกรรมนั้นให้ผลต้นไม้กอไม้  หรือเถาวัลย์ที่กำลังเจริญงอกงามใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบหรือเอาศาสตรามาตัดเมื่อเป็นเช่นนั้นต้นไม้กอไม้หรือเถาวัลย์นั้นจะต้องไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใดกุศลกรรม  ก็ฉันนั้นเหมือนกัน 


เมื่อกำลังให้ผล(แต่ถูก)อกุศลกรรมเบียดเบียนหรือว่าอกุศลกรรมกำลังให้ผล(แต่ถูก)กุศลกรรมบีบคั้นจะไม่สามารถให้ผลได้ในสองอย่างนั้น  สำหรับนายสุนักขัตตะอกุศลกรรม(ชื่อว่าเบียดเบียนกุศลกรรม  สำหรับกรณีนายโจรฆาตกะกุศลกรรม(ชื่อว่า)เบียดเบียนอกุศลกรรม



เรื่องเพชฌฆาตชื่อตาวกาฬกะ ]

เล่ากันว่า  ในกรุงราชคฤห์  นายตาวกาฬกะ  กระทำโจรฆาตกรรม(ประหารชีวิตโจร)มาเป็นเวลา๕๐ปีลำดับนั้นราชบุรุษทั้งหลายได้กราบทูลเขาต่อพระราชาว่าข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพนายตาวกาฬกะแก่แล้วไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรได้พระราชารับสั่งว่า  ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้นอำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้วแต่งตั้งคนอื่นแทนฝ่ายนายตาวกาฬกะ  ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น(เป็นเพชฌฆาต)ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่  ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้  ไม่ได้บริโภคข้าวปายาสไม่ได้รับการอบอาบ

เขาคิดว่าเราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว  จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส  ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำดำเกล้าและนุ่งผ้าใหม่ลูบไล้ของหอมทัดดอกไม้กำลังเดินมาบ้านเห็นพระสารีบุตรเถระดีใจว่าเราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมองและได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย  จึงนำพระเถระไปยังเรือน  แล้วอังคาส(ประเคน)ด้วยข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใสเนยข้นและผงน้ำตาลกรวดพระเถระได้อนุโมทนาของเขาเขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว  กลับได้อนุโลมิกขันติ  ตามส่งพระเถระแล้วเดินกลับในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในดาวดึงสพิภพ


ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่าพระพุทธเจ้าข้า  วันนี้เองนายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมองถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้เหมือนกัน  เขาเกิดในที่ไหนหนอ

 ในดาวดึงสพิภพ  ภิกษุทั้งหลาย.

ภิ พระพุทธเจ้าข้า  นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานานและพระองค์ก็ตรัสสอนไว้อย่างนี้  บาปกรรมไม่มีผลหรืออย่างไรหนอ

 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น  นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสสยปัจจัย  ถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดีฟังอนุโมทนากถาแล้วกลับได้อนุโลมิกขันติจึงได้บังเกิดในที่นั้นนายโจรฆาตได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้วได้อนุโลมขันติบันเทิงใจ  ไปเกิดในไตรเทพ


.  อุปฆาตกกรรม

ส่วนอุปฆาตกกรรมที่เป็นกุศลบ้างที่เป็นอกุศลบ้างมีอยู่เองจะตัดรอนกรรมอื่นที่มีกำลังเพลากว่าห้ามวิบากของกรรมนั้นไว้แล้วทำโอกาสแก่วิบากของตนก็เมื่อกรรมทำ(ให้)โอกาสอย่างนี้แล้วกรรมนั้นเรียกว่าเผล็ดผลแล้วอุปฆาตกกรรมนี้นั่นแหละมีชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรมบ้าง


อธิบายอุปัจเฉทกกรรมในอุปัจเฉทกกรรมนั้นมีนัยดังต่อไปนี้  ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผลอกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป  ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผลกุศลกรรมอย่างหนึ่งก็จะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไปนี้ชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรม 


บรรดาอุปัจเฉทกกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลทั้งสองอย่างนั้น กรรมของพระเจ้าอชาตศัตรูได้เป็นกรรมที่ตัดรอนกุศลส่วนกรรมของพระองคุลิมาลเถระได้เป็นกรรมตัดรอนอกุศลด้วยประการดังกล่าวมานี้ 


.  ครุกกรรม

ส่วนในบรรดากรรมหนักและกรรมไม่หนักทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลกรรมใดหนักกรรมนั้นชื่อว่าครุกกรรม

ครุกกรรมนี้นั้นในฝ่ายกุศลพึงทราบว่าได้แก่มหัคคตกรรมในฝ่ายอกุศลพึงทราบว่าได้แก่อนันตริยกรรม


เมื่อครุกรรมนั้นมีอยู่  กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่เหลือจะไม่สามารถให้ผลได้  ครุกรรมแม้ทั้งสองอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิอุปมาเสมือนหนึ่งว่าก้อนกรวดหรือก้อนเหล็กแม้ประมาณเท่า

เมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงห้วงน้ำย่อมไม่สามารถจะลอยขึ้นเหนือน้ำได้จะจมลงใต้น้ำอย่างเดียวฉันใดในกุศลกรรมก็ดีอกุศลกรรมก็ดีก็ฉันนั้นเหมือนกันกรรมฝ่ายใดหนักเขาจะถือเอากรรมฝ่ายนั้นแหละไป


.๑๐พหุลกรรม(อาจิณณกรรม)

ส่วนในกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลายกรรมใดมากกรรมนั้นชื่อว่าพหุลกรรม

พหุลกรรมนั้นพึงทราบด้วยอำนาจอาเสวนะที่ได้แล้วตลอดกาลนาน 


อีกอย่างหนึ่งในฝ่ายกุศลกรรมกรรมใดที่มีกำลังสร้างโสมนัสให้ในฝ่ายอกุศลกรรมสร้างความเดือดร้อนให้กรรมนั้นชื่อว่าพหุลกรรมอุปมาเสมือนหนึ่งว่าเมื่อนักมวยปล้ำคนขึ้นเวทีคนใดมีกำลังมากคนนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม(แพ้)ไปฉันใดพหุลกรรมนี้นั้นก็ฉันนั้นเหมือนกันจะทับถมกรรมพวกนี้ที่มีกำลังน้อย(ชนะไป


กรรมใดมากโดยการเสพจนคุ้นหรือมีกำลังโดยอำนาจ  ทำให้เดือดร้อนมากกรรมนั้นจะให้ผลเหมือนกรรมของพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยฉะนั้น



เรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ]

เล่ากันมาว่าพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้นรบพ่ายแพ้ในจูฬังคณิยยุทธ์  ทรงควบม้าหนีไปมหาดเล็กชื่อว่าติสสอำมาตย์ของพระองค์ตามเสด็จไปได้คนเดียวเท่านั้นท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ดงแห่งหนึ่งประทับนั่งแล้วเมื่อถูกความหิวเบียดเบียนจึงรับสั่งว่าพี่ติสสะเราสองคนหิวเหลือเกินจะทำอย่างไร มีอาหารพระพุทธเจ้าข้า  ข้าพระองค์ได้นำพระกระยาหารใส่ขันทองใบหนึ่งซ่อนไว้ในระหว่างผ้าสาฎกมาด้วยพระเจ้าข้าถ้าอย่างนั้นจงนำมา เขาจึงนำพระกระยาหารออกมาวางตรงพระพักตร์พระราชาท้าวเธอทรงเห็นแล้วตรัสว่าจงแบ่งออกเป็นส่วนซิพ่อคุณ

เขาทูลถามว่า พวกเรามี คน เหตุไฉนพระองค์จึงให้จัดเป็น ส่วน

พี่ติสสะเวลาที่เรานึกถึงตัวเราไม่เคยบริโภคอาหารที่ยังไม่ได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก่อนเลย ถึงวันนี้เราก็จักไม่ยอมบริโภคโดยยังไม่ได้ถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงจัดแบ่งอาหารออกเป็นส่วน

 

พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านจงประกาศเวลาในป่าร้าง เราจักได้พระคุณเจ้าที่ไหนพระพุทธเจ้าข้า ข้อนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่านถ้าศรัทธาของเรายังมีเราจักได้พระคุณเจ้าเองท่านจงวางใจแล้วประกาศเวลาเถิด

 

เขาจึงประกาศถึงครั้ง ว่าได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้าได้เวลาอาหารแล้วขอรับพระคุณเจ้า

 

ลำดับนั้น พระโพธิยมาลกมหาติสสเถระ ได้ยินเสียงนั้นด้วยทิพพโสตธาตุรำพึงว่าเสียงนี้ที่ไหน? จึงรู้ว่าวันนี้พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยแพ้สงครามเสด็จเข้าสู่ดงดิบประทับนั่งแล้วให้แบ่งข้าวขันเดียวออกเป็นส่วน ทรงรำพึงว่า เราจักบริโภคเพียงส่วนเดียวจึงให้ประกาศเวลา(ภัตร) คิดว่าวันนี้เราควรทำการสงเคราะห์พระราชา แล้วมาโดยมโนคติได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระราชา 

 

พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใสรับสั่งว่ าเห็นไหมเล่าพี่ติสสะดังนี้ไหว้พระเถระแล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญขอท่านจงให้บาตร

 

พระเถระนำบาตรออกแล้ว  พระราชาทรงเทอาหารส่วนของพระเถระพร้อมส่วนของพระองค์ลงในบาตรแล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญขึ้นชื่อว่าความลำบากด้วยอาหารจงอย่ามีในกาลไหน ทรงไว้แล้วประทับยืนอยู่

 

ฝ่ายติสสอมาตย์คิดว่า เมื่อพระลูกเจ้าของเราทอดพระเนตรอยู่ เราจักไม่สามารถบริโภคได้จึงได้เทส่วนของตนลงไปในบาตรพระเถระเหมือนกันถึงม้าคิดว่าถึงเราก็ควรถวายส่วนของเราแก่พระเถระพระราชาทอดพระเนตรดูม้าแล้วทรงทราบว่าถึงม้านี้ก็ประสงค์จะใส่ส่วนของตนลงในบาตรของพระเถระเหมือนกันจึงได้เทส่วนแม้นั้นลงในบาตรนั้นเหมือนกันไหว้แล้วส่งพระเถระไป  พระเถระถือเอาภัตรนั้นไปแล้วได้ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ต้นโดยแบ่งปั้นเป็นคำ

 

แม้พระราชาทรงพระดำริว่า พวกเราหิวเหลือเกินแล้วจะพึงเป็นการดีมาก ถ้าหากพระเถระจะส่งอาหารที่เหลือมาให้ พระเถระรู้พระราชดำริของพระราชาแล้ว จึงทำภัตรที่เหลือให้พอเพียงแก่คนเหล่านั้นจะดำรงชีวิตอยู่ได้จึงโยนบาตรไปในอากาศ

บาตรมาวางอยู่ที่พระหัตถ์ของพระราชาแล้ว แม้อาหารก็พอที่คนทั้ง จะดำรงชีพอยู่ได้

 

ลำดับนั้นพระราชาทรงล้างบาตรแล้วทรงดำริว่า 

เราจักไม่ส่งบาตรเปล่าไป จึงทรงเปลื้องพระภูษาชุบน้ำแล้ววางผ้าไว้ในบาตรทรงอธิษฐานว่าขอบาตรจงประดิษฐานอยู่ในมือแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วทรงโยนบาตรไปในอากาศ บาตรไปประดิษฐานอยู่ในมือพระเถระแล้ว

 

ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชาให้ทรงสร้างมหาเจดีย์สูง ๑๒๐ ศอก บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่ แห่งพระตถาคตเจ้าไว้ เมื่อพระเจดีย์ยังไม่ทันเสร็จก็ได้เวลาใกล้สวรรคต

 

ลำดับนั้น เมื่อพระภิกษุสงฆ์สาธยายโดยนิกายทั้ง ถวายพระองค์ผู้บรรทมอยู่ข้างด้านทิศใต้แห่งมหาเจดีย์รถคันจากเทวโลกชั้น จอดเรียงรายอยู่ในอากาศเบื้องพระพักตร์ของพระราชา

พระราชาทรงรับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงนำสมุดบันทึกการทำบุญมาแล้วรับสั่งให้อ่านสมุดนั้นมาแต่ต้นครั้นไม่มีกรรมอะไรที่จะให้พระองค์ประทับพระทัยจึงตรัสสั่งว่า  จงอ่านต่อไปอีกคนอ่าน  อ่านต่อไปว่าข้าแต่สมมติเทพ  พระองค์ผู้ปราชัยในจุลลังคณิยยุทธสงครามเสด็จเข้าดงประทับนั่ง  ถวายภิกษาแก่ท่านพระโพธิมาลกมหาติสสเถระโดยทรงแบ่งพระกระยาหารขันเดียวออกเป็นส่วนพระราชารับสั่งให้หยุดอ่านแล้วซักถามภิกษุสงฆ์ว่าพระคุณเจ้าข้าเทวโลกชั้นไหนเป็นรมณียสถานภิกษุสงฆ์ถวายพระพรว่าขอถวายพระพรมหาบพิตรดุสิตพิภพเป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์พระราชาสวรรคตแล้วประทับนั่งบนราชรถที่มาแล้วจากดุสิตพิภพนั่นแหละได้เสด็จถึงดุสิตพิภพแล้ว นี้เป็นเรื่อง(แสดงให้เห็น)ในการให้วิบากของกรรมที่มีกำลัง


.๑๑ยทาสันนกรรม(อาสันนกรรม)

ส่วนในบรรดากุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย  กรรมใดสามารถเพื่อจะให้ระลึกถึงในเวลาใกล้ตายกรรมนั้นชื่อว่ายทาสันนกรรม(อาสันนกรรม)  


ยทาสันนกรรม(อาสันนกรรมนั่นแหละ  เมื่อกุศลกรรมและอกุศลกรรมเหล่าอื่นถึงจะมีอยู่ก็ให้ผล(ก่อนเพราะอยู่ใกล้มรณกาล  เหมือนเมื่อเปิดประตูคอกที่มีฝูงโคเต็มคอกบรรดาโคฝึกและโคมีกำลัง  ถึงจะอยู่ในส่วนอื่น(ไกลปากคอกโคตัวใดอยู่ใกล้ประตูคอกโดยที่สุดจะเป็นโคแก่ถอยกำลังก็ตามโคตัวนั้นก็ย่อมออกได้ก่อนอยู่นั่นเองฉะนั้นในข้อนั้นมีเรื่องดังต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง


เรื่องคนเฝ้าประตูชาวทมิฬ]

เล่ากันมาว่าในบ้านมธุอังคณะ  มีนายประตูชาวทมิฬคนหนึ่งถือเอาเบ็ดไปแต่เช้าตกปลาได้แล้วแบ่งออกเป็นส่วนส่วนหนึ่งเอาแลกข้าวสาร  ส่วนหนึ่งแลกนมส่วนหนึ่งต้มแกงกินโดยทำนองนี้เขาทำปาณาติบาตอยู่ถึง  ๕๐ ปี ต่อมาแก่ตัวลงล้มหมอนนอนเสื่อในขณะนั้นพระจุลลปิณฑปาติกติสสเถระชาวคิรีวิหารรำพึงว่าคนผู้นี้  เมื่อเรายังเห็นอยู่อย่าพินาศเสียเลย  แล้วไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเขาขณะนั้นภริยาของเขาจึงบอกว่านี่พระเถระมาโปรดแล้ว  เขาตอบว่า  ตลอดเวลา ๕๐ ปี  เราไม่เคยไปสำนักของพระเถระเลยถ้าคุณความดีอะไรของเรา  ท่านจึงต้องมา  เธอจงไปนิมนต์ให้ท่านไปเสียเถิด

 

นางบอกพระเถระว่า นิมนต์ไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า

พระเถระถามว่า อุบาสกมีพฤติการทางร่างกายอย่างไร

นางตอบว่า อ่อนแรงแล้วเจ้าข้า.

พระเถระเข้าไปยังเรือนให้สติแล้วกล่าวว่า โยมรับศีล(ไหม)

เขาตอบว่า  รับขอรับพระคุณเจ้านิมนต์ให้ศีลเถิด

พระเถระให้สรณะแล้วเริ่มจะให้ศีล ๕ ในขณะที่อุบาสกนั้นว่าปญฺจสีลานิ นั่นแหละลิ้นแข็งเสียแล้ว

พระเถระคิดว่า เท่านี้ก็พอควร แล้วออกไป

 

ส่วนเขาตายแล้วไปเกิดในภพจาตุมหาราชิกะ ก็ในขณะที่เขาเกิดนั่นแหละรำลึกว่าเราทำกรรมอะไรหนอจึงได้สมบัตินี้รู้ว่าได้เพราะอาศัยพระเถระจึงมาจากเทวโลกไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง  เมื่อพระเถระถามว่านั่นใครตอบว่ากระผม(คือคนเฝ้าประตูชาวทมิฬครับพระคุณเจ้า

 

พระเถระถามว่าท่านไปเกิดที่ไหน

 

ตอบว่า ผมเกิดที่ชั้นจาตุมหาราชิกภพ ครับพระคุณเจ้า ถ้าหากพระคุณเจ้าได้ให้ศีล แล้วไซร้ ผมคงได้เกิดในชั้นสูงขึ้นไป ผมจักทำอย่างไร 

พระเถระตอบว่า ดูก่อน(เทพ)บุตร  ท่านไม่สามารถจะรับเอาได้เอง  เทพบุตรไหว้พระเถระแล้วกลับไปยังเทวโลก 

นี้เป็นเรื่อง(ตัวอย่าง)ในกุศลกรรมก่อน



เรื่องมหาวาตกาลอุบาสก ]

ในระหว่างแม่น้ำคงคาได้มีอุบาสกชื่อว่ามหาวาตกาละเขาสาธยายอาการ๓๒  เพื่อมุ่งโสดาปัตติมรรคถึง๓๐ปี  ถึงทิฏฐิวิปลาสว่าเราสาธยายอาการ๓๒อยู่อย่างนี้  ก็ไม่อาจให้เกิดแม้เพียงโอภาสได้  ชะรอยพระพุทธศาสนา

จักไม่เป็นศาสนาเครื่องนำสัตว์ออกจากภพ(เป็นแน่กระทำกาลกิริยาแล้วได้ไปเกิดเป็นลูกจรเข้ยาวอุสภะที่แม่น้ำมหาคงคาคราวหนึ่งเกวียนบรรทุกเสาหิน๖๐เล่มเดินทางไปตามท่ากัจฉปะจรเข้นั้นฮุบกินทั้งโคทั้งหินเหล่านั้นจนหมดสิ้น

นี้เป็นเรื่อง(ตัวอย่างในอกุศลกรรม


.๑๒  กฏัตตาวาปนกรรม

ส่วนกรรมนอกเหนือจากกรรมดังกล่าวมาแล้วนี้  ทำไปโดยไม่รู้หรือสักว่าทำชื่อว่า  กฏัตตาวาปนกรรม

กฏัตตาวาปนกรรมนั้น  อำนวยวิบากได้ในกาลบางครั้ง  เพราะไม่มีกรรมอย่างเหล่านั้น 

เหมือนท่อนไม้ที่คนบ้าขว้างไป  จะตกไปในที่ๆ 

ไม่มีจุดหมายฉะนั้น



เป็นอันท่านจำแนกกรรม ๑๒ อย่าง ตามสุตตันติกปริยาย.

องฺ.//๑๒๑-๑๓๓ วิสุทธิ /๒๒๓

-----------------------

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..