เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

ถ้ำของพลาโต้

0


นิทานมิใช่เป็นเพียงแค่ "เรื่องเล่า

แต่ว่านิทานยังเป็นเรื่องที่นักคิดหรือนักปรัชญาสมัยก่อนนิยมผูกแต่ง#เรื่องเล่าเป็น"นิทานเพื่อสื่อ#แง่มุมคิดเป็นคำสอนแนวคิดหรือเป็นปรัชญาของตนๆเช่นพระพุทธเจ้าพลาโต้อีสปหยางจื่อเป็นต้นโดยเฉพาะพลาโต้นักคิดหรือนักปรัชญากรีกสมัยโบราณในยุคคลาสสิคแล้วนับว่าท่านเป็น#นักเล่านิทานเพื่อสื่อสะท้อน#แง่มุมคิดเป็นแนวคิดทางปรัชญาของท่านทีเดียวโดยจะเล่าเป็น"บทสนทนา"(dialogue) ผ่านตัวละครต่างๆที่ถูกสมมุติขึ้นให้โต้ถกกันเพื่อหาข้อสรุปทางความคิดนิทานเรื่องหนึ่งที่พลาโต้เล่าเอาไว้ก็คือเรื่อง"ถ้ำของพลาโต้" (Plato's Cave) ดังมีรายละเอียดของเรื่องเล่าเป็นสาระดังนี้ 


นื้อเรื่อง..

มีคนหลายคนถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ภายในถ้ำมาเกือบตลอดทั้งชีวิตพวกเขาไม่เคยย่างก้าวออกไปนอกถ้ำได้ซึ่งก็อย่าว่าแต่ย่างก้าวออกไปเลยแม้แต่จะขยับใบหน้าขยับตัวแขนขาหรือส่วนไหนของร่างกายตนก็ไม่ได้หรือไม่ถนัดเพราะถูกลามโซ่แบบตรึงเอาไว้แน่นหนาพวกเขาถูกตรึงไว้โดยการให้หันหลังให้ปากถ้ำสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ก็คือผนังภายในถ้ำที่มีแสงส่องจากกองไฟหคือดวงอาทิตย์จากปากถ้ำเข้ามากระทบ(เหมือนกับการดูหนังในโรงหนังที่คนดูจะหันหลังให้กับแสงที่มาของภาพที่เรียกว่า"ฉายหนัง") แต่ว่าพวกเขานั้นก็ไม่เคยเห็นปากถ้ำเลยจึงไม่รู้ว่ามีปากถ้ำและก็ไม่รู้ที่มาของแสงจากนอกถ้ำที่เข้าจากปากถ้ำนั้นและเมื่อมีสัตว์นกคนหรือสิ่งต่างๆผ่านปากถ้ำด้านนอกถ้ำนั้นไปก็จะทำให้เกิดเงาภาพที่ทอดเข้ามาตกกระทบบนผนังถ้ำด้านในของถ้ำคนในถ้ำมองเงาภาพบนผนังที่มีรูปทรงต่างๆนั้นแล้วก็เข้าใจผิดคิดเอาเองว่าพวกเขากำลังมองเงาภาพที่เป็นของจริงๆอยู่ตามที่เห็นและได้ยินเสียง 


ต่อมามีคนในถ้ำนี้คนหนึ่งตัดโซ่ตรวนที่ผูกล่ามทั้งร่างนั้นและหนีออกนอกถ้าที่เป็นคุกขังตนนั้นไปได้เขาหรือเธอเดินออกมานอกถ้ำจึงมองเห็น"โลกแห่งของจริงเป็นครั้งแรกและได้รู้ว่าโลกจริงๆนั้นลึกล้ำและเหนือกว่าโลกแห่งเงาภาพเสมือนจริงที่ได้รู้จักภายในถ้ำนั้นอย่างประมาณกันไม่ได้เลยเหตุว่าเขาหรือเธอนั้นเห็นคนจริงๆนกบินจริงๆสัตว์เคลื่อนไหวจริงๆมิใช่เพียงเงาภาพอย่างที่เคยเห็นและรู้จักมาและก็รู้ว่าแหล่งกำเนิดแสงนั้นคือพระอาทิตย์จึงให้รู้สึกตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ได้ค้นพบและรู้เห็นจริงกว่า


เมื่อได้เห็นและรับรู้"โลกแห่งความจริงโดยประจักษ์ซึ่งมิใช่เป็นเพียง"โลกแห่งความเชื่อ"ในแบบเป็นมายาภาพเท่านั้นแล้วเขาหรือเธอจึงเดินทางกลับไปหาเพื่อนๆในถ้ำนั้นอีกครั้งและพยายามบอกเล่าเรื่องโลกจริงๆด้านนอกถ้ำให้พวกเพื่อนๆนั้นได้รับฟังแต่ว่าก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้พบผลตามมาว่าพวกนั้นไม่เชื่อเรื่องที่เขาหรือเธอได้เล่ามานั้นเลยแย่ไปกว่านั้นพวกเขากลับโมโหให้โดยต่างก็กล่าวว่าเงาภาพที่พวกเขาเห็นในถ้ำนั้นๆเป็น"ของจริงสิ่งที่เขาหรือเธอเล่ามาตามที่ได้เห็นและรู้มาจริงๆนั้นเป็นของไม่จริงแท้เป็นความเห็นผิดและเป็นเรื่องเหลวไหลของคนบ้าเสียสติเท่านั้น




สิ่งที่ได้รับ..

จากนิทานเรื่องเล่าว่าด้วย"ถ้ำของพลาโต้ข้างต้นนั้นสื่อสะท้อน"แง่มุมคิดในบางแง่มุมคิดได้ดังที่ผู้เขียนจะพยายามคิดและสื่อสะท้อนออกมาได้ดังนี้


         1) พลาโต้เชื่อว่าโลกจริงๆของคนเรา(man) และวัตถุทั้งหลาย(Objects) ที่เรามองเห็นทุกสิ่งอย่างนั้นๆเป็น"เงาของสิ่งที่ท่านเรียกว่า"แบบ" (Form) จากโลกแห่งแบบคนที่หนีออกจากถ้ำไปพบความจริงของโลกภายนอกถ้ำได้คือคนที่บรรลุสัจจธรรมและค้นพบว่าโลกแห่งแบบต่างห่างที่เป็นของจริงมิใช่โลกที่ผู้คนคุ้นเคยหรือโลกแห่งวัตถุคนส่วนมากแล้วก็เหมือนกับคนที่ยังถูกจองจำเอาไว้ในถ้ำเห็นว่าวัตถุต่างๆที่เป็นเงาของแบบหรือต้นแบบที่เขาเห็นนั้นๆเป็นของจริงทั้งๆที่มิใช่ของจริงอย่างที่พากันคิดและเชื่อถือมาเลยก็ตาม 


        2) ในทัศนะของพลาโต้โลกมนุษย์นี้จะมีโลกอยู่โลกคือโลกเสมือนจริงกับโลกแห่งความจริงโลกเสมือนจริงเป็นโลกที่ถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นเป็นมายาภาพเพื่อหลอกล่อหรือกักขังผู้คนไว้ให้"ติดกับดักในความคิดและความเชื่อของตนๆจึงทำให้ไม่สามารถรู้จักโลกจริงๆหรือโลกแห่งความจริงตามที่เป็นจริงของสรรพสิ่งได้คนทึ่อยู่ใน"ถ้ำของพลาโต้นั้นเปรียบดังคนที่ติดใน"กรอบเดิมแห่งจารีตนิยมแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่ล้าสมัยหรืออนาคตเก่าๆจำเจที่ถูกป้อนข้อมูลแห่งโลกเสมือนจริงหรือโลกแห่งมายาเข้าสมองเพื่อให้ติด"กับดักให้คิดจินตนาการเอาเองและให้เชื่อแบบเดิมๆของตนเท่านั้นโคยไม่เคยคิดเห็นและรู้โลกแห่งของจ่ริงๆหรือโลกแห่งความจริงตามที่เป็นจริงอันเป็นอื่นจากที่เคยรู้และคิดมาได้เลยการจะหลุดจากโลกเสมือนจริงหรือโลกแห่งมายานี้ได้คือการต้องหยุดรับข้อมูลที่ถูกส่งมานั้นๆโดยถอด"ปลั๊กแห่งความเชื่อและความคิดแบบเดิมๆว่าถูกต้องว่าเป็นจริงแท้กว่าอย่างอื่นๆอย่างนี้ออกไปจากตนเสียให้ได้ก่อนแล้วตื่นขึ้นมาจากโลกเสมือนจริงหรือโลกแห่งมายาที่หลอกลวงตนนั้นมาสู่โลกแห่งความรู้จริงเพื่อความรู้จริงๆจะได้สร้างอนาคตใหม่ทึ่ดีขึ้นและก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมได้ต่อไป


        3) คนเราควรจะตัดโซ่ตรวนแห่งพันธนาการที่อยู่ด้วย"โลกเสมือนจริงหรือ"โลกแห่งมายาอันจะทำให้ติดอยู่ใน"ถ่ำแห่งความไม่รู้จริงและ"ถ่ำแห่ง"กับดักที่คนผู้ฉลาดได้วางดักโดยการประดิษฐ์สร้างขึ้นไว้เพื่อให้คนที่ฉลาดน้อยกว่าได้มาติดกับของตนและถอด"กับดักหรือ"ปลั๊กแห่งความคิดและความเชื่อแบบเดิมๆที่ถูกนำข้อมูลเข้าสู่สมองแล้วนั้นๆออกหรือถอนได้โดยยากนั้นๆเสียจากนั้นหนีออกไปค้นหาความหมายและความจริงของชีวิตใน"โลกแห่งความจริงที่อยู่"ภายนอกถ้ำให้ได้อย่างถ่องแท้และพยายามกลับมาช่วยคนอื่นๆให้ถอดโซ่ตรวนของการถูกพันธนาการให้ติดอยู่ใน"ถ้ำนั้นด้วยซึ่งพลาโต้ได้สื่อแสดงแนวคิดอยางนี้ผ่านตัวละครที่เล่าไว้แล้วนั้นคือตัวละครที่ตัด"โซ่ตรวนที่ผูกล่ามตนเอาไว้ซึ่งเปรียบเป็นเหมือนกับ"กบในกะลาและหนีออกจาก"ถ้ำนั้นไปได้จึงทำให้ได้ค้นพบ"โลกแห่งความจริงที่อยู่"นอกถ้ำซึ่งเปรียบเหมือนได้กับ"กบนอกกะลาได้ว่าโลกแห่งแสงสว่างจากพระอาทิตย์นั้นถือเป็นโลกแห่งของจริงหรือโลกแห่งความจริงภายนอกถ้ำแต่โลกแห่งเงาภาพบนผนังถ้ำนั้นต่างหากเป็นโลกเสมือนจริงหรือโลกแห่งมายาที่หลอกลวงซึ่งจำเป็นต้องถอด"กับดักหรือ"ปลั๊กแห่งความคิดและความเชื่อแบบเดิมๆที่มีอยู่ในตนนั้นออกไปเสียจากความเป็นโลกเสมือนจริงหรือโลกแห่งมายาที่หลอกลวงตนให้ได้และนำโลกแห่งความจริงที่ค้นพบและได้รู้จริงแล้วนั้นๆกลับไป"วางหรือ"เสียบกลับใหม่เพื่อช่วยคนอื่นๆที่"ยังติดอยู่ในถ้ำอยู่ให้ออกมาจาก"ถ้ำของความไม่รู้ของจริงและทำให้ได้พบ"โลกแห่งความจริงตามที่เป็นจริงได้ต่อไป


        4) คนหลายคนในโลกนี้ก็เหมือนกับนักโทษหลายคนในถ้ำเชื่อว่าสิ่งที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสของตนๆเป็นแหล่งเกิดของความรู้ที่เป็นจริงและเชื่อถือได้จึงพากันเชื่อมั่นในเงาภาพที่เห็น-เสียงที่ได้ยิน-สัมผัสที่รับรู้นั้นๆว่าเป็นของจริงโดยไม่สงสัยแต่ว่าพลาโต้กลับบอกว่าสิ่งที่เห็น-ได้ยินแล้วนั้นๆอาจมิใช่สิ่งที่จริงแต่สิ่งที่จริงจะแฝงอยู่-หรืออยู่นอกหรือไม่ตรงกับสิ่งที่เห็น-ได้ยิน-สัมผัสนั้นๆก็ได้ท่านจึงได้เล่านิทานเรื่องถ้ำดังกล่าวเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยเหตุผลทางคำพูดโดยการให้

                 (1) "ถ้ำอันเป็นที่ตั้งแห่งคุกหรือที่คุมขังของนักโทษหลายคนที่ถูกล่ามโซ่ตรวนผูกมัดเอาไว้นั้นเปรียบได้กับ"โลกที่เห็น-รับรู้ด้วยตา-หู-กายสัมผัสอันเป็น"เงาภาพของ"โลกแห่งมายาที่ล่อลวงและทำให้ลุ่มหลงเข้าใจผิดคิดกันไปเองว่าเป็นชองจริงแท้  

                (2) "แสงสว่างจากกองไฟหรือดวงอาทิตย์ที่ทำให้เห็นจริง-รับรู้ได้นั้นเปรียบได้กับ"อำนาจแห่งแสงไฟหรือดวงอาทิตย์คือ"ปัญญาอันจะทำให้ค้นพบความจริงของโลกแห่งความจริงภายนอกถ้ำได้และ

                (3) การ"ตัดโช่ตรวนที่รัดรึงให้ติดอยู่ในถ้ำและ"หนีออกนอกถ้ำที่กักขังตนเอาไว้ให้อยู่ใน"โลกเสมือนจริงหรือ"โลกแห่งมายาจนได้รู้เห็นสิ่งต่างๆอันเป็น"โลกแห่งความจริงที่ดีกว่าภายนอกถ้ำของนักโทษที่ตัดโซ่ตรวนและหนีออกมาได้นั้นก็คือจิตวิญญาณในตัวของบุคคลผู้มีนิสัยเป็นนักปราชญ์ที่ต้องการออกไปค้นหา"โลกแห่งความจริงด้วยปัญญาของตนโดยไม่จมปลักดักดานอยู่ในความเป็นแบบเดิมๆและในการออกไปนอกถ้ำเพื่อค้นหาความจริงนั้นสิ่งที่จะเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายและเป็นสิ่งที่เห็นได้ยากในโลกแห่งสิ่งที่จะรู้เห็นได้นั้นก็คือ  "แบบแห่งความดีเมื่อใครได้รู้เห็นสิ่งนี้ได้แล้วก็จะรู้แท้จริงได้ว่าสิ่งที่รู้เห็นนั้นคือสิ่งอันเป็นที่มาของสิ่งทั้งปวงที่ถูกต้องและดีงามให้แสงสว่างและเป็นต้นกำเนิดของการให้แสงสว่างแก่โลกที่รู้เห็นได้ด้วยตา-หู-กายสัมผัสและเป็นที่มาของความจริงและเหตุผลในโลกที่รู้ได้ด้วยปัญญาซึ่งจะทำให้รู้แจ้งว่าคนส่วนใหญ่ในโลกเป็นเสมือนนักโทษที่ติดหรือถูกกุมขังอยู่ใน"ถ้ำโดยจะหลงไหลนิยมชื่นชมอยู่กับ"เงาอันเป็น"โลกเสมือนจริงหรือ"โลกแห่งมายาอย่างไม่รู้แท้จริงเลยว่าสรรพสิ่งที่รู้และพบเห็นในชีวิตประจำวันนั้นๆเป็นเพียง"สิ่งจำลองแบบที่มาจากความจริงที่เป็นต้นแบบซึ่งพลาโต้เรียกว่า"แบบตามแนวคิดเรื่องแบบ(Idea of Form) ของท่าน



อีกนัยหนึ่ง"ถ้ำเปรียบได้กับ"โซ่ตรวนที่ผูกมัดผู้คนมากมายไว้ให้ติดกับดักในโลกแห่งมายาของเงาภาพที่มองเห็น-ได้ยินเสียง-ถูกต้องสัมผัสกาย"เงาภาพต่างๆที่ผู้คนที่ซึ่งถูกทำให้ติดกับดักได้รับรู้และยึดมั่นอยู่ด้วยความหลงเข้าใจผิดโดยไม่รู้จริงก็เปรียบได้กับความรู้ความคิดและความเชื่อแบบเดิมๆที่ยังหลงติดอยู่ด้วยความเข้าใจว่าเป็นของจริงแท้ทั้งๆที่อาจไม่เป็นจริงหรือไม่ดีจริงเป็นมายาภาพก็ได้และคนที่ตัดทำลายโซ่ตรวนและหนีออกจาก"ถ้ำที่มีและทำให้รับรู้แต่"โลกแห่งมายาออกไปนอกถ้ำเพือไปค้นหาความจริงได้นั้นก็เปรียบได้กับการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆใส่ตนเพื่อความก้าวหน้าในความรู้ยิ่งขึ้นไปและเพื่อสร้าง"อนาคตใหม่ที่ดีกว่าของแบบเดิมๆโดยไม่จมปลักติดจารีตนิยมติดในอนุรักษ์นิยมในแบบล้าหลังหรืออนาคตแบบเก่าๆ 

 


นิทานเรื่อง"ถ้ำของพลาโต้พูดถึงคน ประเภทคือ คนที่ถูกล่ามโซ่ตรวนให้ติดอยู่ในถ้ำและติดอยู่ในโลกเสมือนจริงหรือโลกแห่งมายา กับคนที่ตัดโซ่ตรวนที่ถูกมัดตรึงให้ติดอยู่ในถ้ำได้และหนีออกไปนอกถ้ำเพื่อค้นหาโลกแห่งความจริงแท้จริงนอกถ้ำได้ซึ่งก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายนะครับว่าท่านจะเลือกเป็นเหมือนนักโทษหลายคนที่ถูกล่ามโซ่ตรวนอยู่ในคุกคือ"ถ้ำและติดอยู่ในโลกแห่งมายาในแบบ"กบในกะลา"" หรือเป็นเหมือนนักโทษที่ตัดโซ่ตรวนที่ผูกมัดล่ามตนไว้ออกได้และหนีออกมาจากถ้ำหรือคุกขังตนให้ติดกับดักไว้นั้นได้เพื่อไปค้นหาความจริงให้พบเจอเพื่อพัฒนาความรู้ความคิดของตนและพัฒนาตนและสังคมในแบบใหมๆที่ดีกว่าเดิมและอยู่ในโลกแห่งความอิสระทางความรู้และความคิดจริงเชิงสร้างสรรค์ที่กว้างไกลกว่าในแบบ"กบนอกกะลา"" แต่พลาโต้และพระพุทธเจ้าเลือกที่จะเป็นแบบคนที่หนีออกจาก"ถ้ำ"ครับ.

 


-- ขอขอบคุณท่าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิญวัฒน์ โพธิ์สาน

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..