คัมภีร์พุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายานบันทึกตรงกันว่าพระโคตมพุทธเจ้าทรงประสูติ 623 ปีก่อนคริสต์ศักราชพระองค์ทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราชจนถึงเริ่มพุทธศักราช ซึ่งเป็นวันปรินิพพานตรงกับ 543 ปีก่อนคริสตกาลตามตำราไทยซึ่งอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทยและตรงกับ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทินสากล
พระโคตมพุทธเจ้าเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาแห่งแคว้นสักกะโคตมโคตรอันเป็นราชสกุลวงศ์ที่ปกครองกรุงกบิลพัสดุ์มาช้านานก่อนออกผนวชทรงดำรงพระอิสสริยยศเป็นรัชทายาทเมื่อเสด็จออกผนวชและบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงได้รับการถวายพระนามต่างๆอาทิพระศากยมุนี, พระพุทธโคดม, พระโคดมพุทธเจ้าฯลฯแต่ทรงเรียกพระองค์เองว่าตถาคตแปลว่าพระผู้ไปแล้วอย่างนั้น คือทรงปฏิญาณว่าทรงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงสำเร็จแล้วซึ่งอรหัตผล
พระประสูติกาล
ในคืนที่พระโพธิสัตว์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายาพระนางทรงพระสุบินนิมิตว่ามีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ณที่บรรทมสิบเดือนหลังจากนั้นขณะทรงพระครรภ์แก่ได้ทรงขอพระราชานุญาตจากพระสวามีเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับณกรุงเทวทหะอันเป็นพระมาตุภูมิเพื่อให้การประสูติเป็นไปตามประเพณีนิยมในสมัยนั้นระหว่างเสด็จกลับพระมาตุภูมิพระนางได้ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละในสวนป่าลุมพินี ขึ้น15 ค่ำเดือน6 ปีจอก่อนพุทธศักราช80 ปีพระโอรสก็ได้ประสูติเมื่อประสูติแล้วพระราชกุมารนั้นทรงพระดำเนินได้7 ก้าวทันทีพร้อมทั้งเปล่งอาสภิวาจาว่า"เราเป็นผู้เลิศเป็นผู้เจริญเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลกการเกิดของเราครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายบัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว" อนึ่งทั้งสวนป่าลุมพินีและกรุงกบิลพัสดุ์ในปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล
หลังจากมีพระประสูติกาลแล้ว 3 วันมีฤๅษีตนหนึ่งนามว่า"อสิตะ" ได้เข้าเยี่ยมพระราชกุมารเมื่อพิจารณาดูก็พยากรณ์ว่าพระราชกุมารนี้จะได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณอย่างแน่นอน
เมื่อพระชนมายุ 5 วันพระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้เชิญพราหมณ์มา 108 คนเพื่อถวายพระนามพระราชกุมารจึงได้พระนามว่า"สิทธัตถะ" จากนั้นพระเจ้าสุทโธทนะได้เชิญพราหมณ์ 8 คนเข้าพิจารณาพระลักษณะของพระกุมารเพื่อถวายคำพยากรณ์พราหมณ์ 7 คนในจำนวนนั้นทำนายเป็น 2 สถานคือหากพระราชกุมารครองราชย์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหากผนวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเว้นแต่พราหมณ์อายุน้อยสุดชื่อ"โกณฑัญญะ" พยากรณ์ว่าพระราชกุมารจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน
หลังจากที่มีพระประสูติกาลแล้ว 7 วันพระพุทธมารดาก็เสด็จสวรรคตในปฐมสมโพธิกถาพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสกล่าวว่าเป็นเพราะพระครรภ์ของพระพุทธมารดาไม่ควรจะเป็นที่เกิดของสัตว์ใดอีกและจึงจักต้องเสด็จสู่สวรรคาลัยจึงต้องอยู่ในการดูเแลของพระนางปชาบดีโคตมีหรือพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีในเวลาต่อมา
เจ้าชายสืบราชสมบัติ
เจ้าชายสิทธัตถราชกุมารทรงเจริญวัยด้วยความสุขยิ่งเพราะทรงถือกำเนิดในราชตระกูลภายใต้เศวตฉัตรและได้ทรงศึกษาในสำนักอาจารย์วิศวามิตรซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดเจ้าชายได้ทรงศึกษาอย่างรวดเร็วและจบหลักสูตรสิ้นทุกประการคือจบศิลปศาสตร์ทั้ง 18 สาขาวิชา
อย่างไรก็ตามพระเจ้าสุทโธทนะทรงปริวิตกต่อคำทำนายของพราหมณ์หนุ่มที่ว่าเจ้าชายจะทรงออกผนวชแน่นอนจึงทรงจัดการเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์พร้อมสร้างปราสาท 3 ฤดูให้ประทับเมื่อพระชมน์ได้ 16 พรรษาได้เข้าสู่พิธีอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพาผู้เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะกษัตริย์ผู้ครองราชสมบัติกรุงเทวทหะจนพระชนมายุได้ 29 พรรษาจึงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนามว่าพระราหุลซึ่งแปลว่าบ่วง
มหาภิเนษกรมณ์
ตามนัยอรรถกถา
เหตุการณ์การออกผนวชจากหลักฐานชั้นอรรถกถากล่าวว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยจนมีพระชนมายุได้ 29 พรรษาแล้วทรงเสพสุขอยู่บนปราสาท 3 ฤดูมีความสุขทางโลกบริบูรณ์ จนวันหนึ่งได้เสด็จประพาสอุทยานครั้งนั้นเทวดาได้เนรมิตเทวทูต 4 อันได้แก่คนแก่คนเจ็บคนตายและนักบวชเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง4 ก็ทรงบังเกิดความสังเวชในพระทัยและใคร่เสด็จออกผนวชเป็นสมณะ
วันที่เจ้าชายราหุลประสูตินั้นเป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาด้วยทรงเบื่อในเพศฆราวาสอันเต็มไปด้วยกิเลสจึงทรงเห็นว่าเพศบรรพชิตเท่านั้นที่ประเสริฐและเป็นสามารถจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้เมื่อตัดสินพระทัยจะออกผนวชจึงตรัสให้นายฉันนะเตรียมม้าพระที่นั่งแล้วเสด็จไปเยี่ยมพระโอรสและพระชายาเมื่อพระองค์เห็นพระนางพิมพาบรรทมหลับสนิทพระกรกอดโอรสอยู่ทรงพระดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะตื่นบรรทมเป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบรรพชาจึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรสเสด็จออกจากห้องเสด็จลงจากปราสาทพบนายฉันนะซึ่งเตรียมม้ากัณฐกะเป็นม้าพระที่นั่งไว้แล้วเสด็จออกจากพระนครในเวลาเที่ยงคืน เข้าเขตแดนแคว้นโกศลและแคว้นวัชชีจนถึงฝั่งแม่น้ำอโนมาในคืนนั้นเมื่ออาทิตย์ขึ้นแล้วจึงทรงครองบาตรและจีวรที่ฆฏิการพรหมนำมาถวาย ขณะนั้นตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 จากนั้นทรงส่งนายฉันนะให้นำเครื่องทรงกษัตริย์กลับนครแล้วเสด็จลำพังโดยพระองค์เดียวมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ
ตามนัยพระบาลี(พระไตรปิฎก)
เหตุการณ์การออกผนวชจากหลักฐานชั้นต้นคือพระไตรปิฎกกล่าวว่าเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะอายุได้29 พรรษาทรงพระดำริว่า
...มนุษย์ทั้งหลายมีความทุกข์เกิดขึ้นครอบงำอยู่ตลอดเวลาก็จริงเกลียดความทุกข์อยู่ตลอดเวลาก็จริงแต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายยังมัวแสวงหาทุกข์ร้อนใส่ตัวอยู่ตลอดเวลาแล้วทำไมเราต้องมามัวนั่งแสวงหาทุกข์ใส่ตัวอยู่อีกเล่า!
— สยามรฏฺฐเตปิฏกํปาลี. ปาสราสิสุตฺตโอปทฺทมวคฺคอุปริ. ม. มู. ม. 12/316/316
ความคิดเช่นนี้ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะถึงกับตั้งพระทัยออกผนวชด้วยดำริว่า
...เมื่อรู้ว่าการเกิดมี(ทุกข์) เป็นโทษแล้วเราพึงแสวงหา"นิพพาน" อันไม่มีความเกิดอันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัดไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าเถิด
— สยามรฏฺฐเตปิฏกํปาลี. ปาสราสิสุตฺตโอปทฺทมวคฺคมู. ม. 12/316/316
นอกจากนี้ในสคารวสูตรมีพระพุทธพจน์ตรัสสรุปสาเหตุที่ทำให้ทรงตั้งพระทัยออกบรรพชาไว้สั้นๆว่า
..ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสแสงสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียวเหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้วโดยง่ายนั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวดครองผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือนเถิด
— สยามรฏฺฐเตปิฏกํปาลี. สคารวสุตฺตพฺราหฺมณวคฺคม. มู.13/669/738
ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหลายนี้พระองค์จึงทรงตั้งพระทัยเสด็จออกผนวชซึ่งนักวิชาการพุทธศาสนาบางท่านอ้างว่าการเสด็จออกผนวชตามนัยพระไตรปิฎกนั้นมิได้ทรงหนีออกจากพระราชวังแต่เสด็จออกผนวชเฉพาะพระพักตร์พระราชบิดาและพระราชมารดาเลยทีเดียวโดยอ้างจากโพธิราชกุมารสูตรราชวรรคว่า
...เรายังหนุ่มเทียวเกสายังดำจัดบริบูรณ์ด้วยเยาว์อันเจริญในปฐมวัยเมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วยกำลังพากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่เราได้ปลงผมและหนวดครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว...
— สยามรฏฺฐเตปิฏกํปาลี. โพธิราชกุมารสุตฺตราชวคฺคม. มู. 13/443/489
ตามพุทธวจนะไม่ได้กล่าวว่าผนวชเฉพาะพระพักตร์พระราชบิดาและพระราชมารดาเพียงแต่ตรัสว่าผนวชขณะทั้งสองพระองค์กรรแสงเพราะทรงหนีจากพระราชวังแล้วผนวชในตอนเช้าเมื่อทั้งสองพระองค์ทรงทราบในเช้านั้นจึงเสียพระทัยการผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะและการกรรแสงของพระราชบุพการีจึงเป็นเวลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่
เหตุการณ์จากนี้ในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถาระบุตรงกันว่าเมื่อพระองค์ถือเพศบรรพชิตแล้วก็ทรงศึกษาในลัทธิคณาจารย์ต่างๆซึ่งสมัยนั้นนิยมกันส่วนเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครองเพศบรรพชิตแล้วทรงถือวัตรปฏิบัติของสมณะคือปลงผมนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาด(สีเหลืองแก่นขนุน) เลี้ยงชีพด้วยอาหารบิณฑบาตที่ผู้ต้องการบุญถวายให้ทรงมีพระนามเรียกขานว่าพระสมณโคดม(คำว่าโคดมมาจากคำว่าโคตมะซึ่งเป็นชื่อโคตรของราชวงศ์ศากยะ)
บำเพ็ญเพียรเพื่อการบรรลุธรรม
พระโพธิสัตว์ได้ทรงศึกษากับอาฬารดาบสกาลามโคตรเมื่อหมดความรู้ของอาจารย์จึงอำลาไปเป็นศิษย์ในสำนักอุทกดาบสรามบุตรซึ่งมีความรู้สูงกว่าอาฬารดาบสหนึ่งขั้นคือเป็นผู้บรรลุฌานขั้นที่ 8 พระสมณโคดมทรงใช้เวลาศึกษาไม่นานก็สิ้นภูมิรู้ของอาจารย์ในที่สุดจึงอำลาไปค้นหาวิมุตติธรรมตามแนวทางของพระองค์ด้วยทรงประจักษ์ว่านี่ไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้
พระองค์จึงได้ละทิ้งสำนักอาจารย์เหล่านั้นเสียพระองค์ได้มุ่งหน้าสู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแคว้นมคธพร้อมฤๅษี 5 รูปชื่อว่าโกณฑัญญะวัปปะภัททิยะมหานามะและอัสสชิเรียกว่าปัญจวัคคีย์มาปฏิบัติตนเป็นศิษย์ด้วยคาดหวังว่าเมื่อพระโพธิสัตว์หลุดพ้นแล้วจะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วยโดยพระองค์ได้เริ่มการบำเพ็ญเพียรขั้นอุกฤษฏ์ที่เรียกว่าทุกกรกิริยาซึ่งนักบวชสมัยนั้นนิยมปฏิบัติกัน
-วาระแรกทรงกัดฟันนำลิ้นแตะเพดานปากไว้แน่นจนพระเสโท(เหงื่อ) ไหลออกทางพระกัจฉะ(รักแร้)
-วาระที่ 2 ทรงกลั้นลมหายใจเข้าออกจนเกิดเสียงดังอู้ทางช่องหูทั้งสองทำให้ทรงปวดหัวเสียดท้องและทรงร้อนพระวรกายการนั่งตากแดดจนผิวเกรียมไหม้ครั้นฤดูหนาวก็ลงไปแช่น้ำจนตัวแข็งพระองค์ได้ทรงทดลองปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิมทุกวิถีทางแต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุแนวทางค้นพบสัจจธรรม
-ได้พระองค์เริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยาในวาระสุดท้าย คือเริ่มลดอาหารที่ละน้อยๆจนถึงขั้นอดอาหารจนร่างกายซูบซีดผอมแห้งเหลือแต่หนังและเอ็นหุ้มกระดูก
ทรงมาบำเพ็ญเพียรถึงขั้นอุกฤษฏ์ขนาดนี้นับเป็นเวลาถึง 6 พรรษาก็ยังไม่สามารถบรรลุธรรมภายหลังทรงได้แนวพระดำริว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้นเป็นการทรมานตนให้ลำบากเปล่าเป็นข้อปฏิบัติที่ตึงเกินไปและไม่ใช่หนทางแห่งการตรัสรู้แต่มัชฌิมาปฏิปทาคือไม่ตึงหรือหย่อนเกินไปน่าจะเป็นหนทางแห่งการตรัสรู้ได้จึงเริ่มเสวยพระกระยาหารดังเดิมเพื่อให้ร่างกายคลายเวทนามีสมาธิที่จะบำเพ็ญเพียรต่อไปปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 จึงเข้าใจว่าพระบรมโพธิสัตว์ได้ละความเพียรแล้วหันมาบริโภคพระกระยาหารดังเดิมไหนเลยจะสามารถพบธรรมวิเศษได้จึงพากันเดินทางจากพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันใกล้เมืองพาราณสีแคว้นกาสี
พระสุบินนิมิต
ขณะที่พระบรมโพธิสัตว์บรรทมหลับในยามราตรีของคืนวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 จนเวลาใกล้รุ่งทรงสุบินนิมิต 5 ประการ คือ
1. นอนหงายบนพื้นปฐพีมีเขาหิมพานต์เป็นเขนย(หมอน) พระพาหาซ้ายจมลงไปในมหาสมุทรทิศบูรพาพระพาหาขวาหยั่งลงไปในมหาสมุทรด้านทิศปัจฉิมและพระบาท(เท้า) ทั้งสองหยั่งลงไปในมหาสมุทรด้านทิศทักษิณ
2. มีหญ้าแพรกเส้นหนึ่งงอกขึ้นจากพระนาภี(สะดือ) สูงขึ้นไปถึงท้องฟ้า
3. หมู่หนอนเป็นอันมากมีสีขาวบ้างสีดำบ้างไต่ขึ้นมาจากปลายพระบาททั้งคู่ปิดลำพระชงฆ์(แข้ง) ตลอดจนถึงพระชานุ(เข่า)
4. ฝูงนก 4 จำพวกมีสีต่างๆกันคือสีเหลืองสีเขียวสีแดงและสีดำบินมาจากทิศทั้ง 4 ลงมาหมอบแทบพระบาทแล้วกลับกลายเป็นสีขาวไปหมดทั้งสิ้น
5. พระองค์เสด็จขึ้นไปเดินจงกรมบนยอดภูเขาที่เปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยมูตรคูถ(ปัสสาวะอุจจาระ) แต่พระบาทของพระองค์มิได้เปื้อนด้วยสิ่งเหล่านั้นเลย
เมื่อทรงตื่นจากบรรทมแล้วพระองค์ก็เริ่มพยากรณ์ไปตามลำดับว่า
1 พระองค์จะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นผู้เลิศในโลกทั้ง 3 ได้แก่กามโลกรูปโลกและอรูปโลก
2 พระองค์จะได้ทรงประกาศพระธรรมเทศนาอริยมรรคมีองค์ 8 แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
3 หมู่คฤหัสถ์พราหมณ์และชนทั้งหลายที่นุ่งผ้าขาวจะมาสู่สำนักของพระองค์และดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์
4 วรรณะทั้ง 4 (พราหมณ์, กษัตริย์, แพศย์และศูทร) เมื่อสละเพศฆราวาสมาบรรพชาในพระธรรมวินัยและจะได้บรรลุวิมุตติธรรมอันประเสริฐบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสโดยเท่าเทียมกัน
5 พระองค์จะบริบูรณ์ด้วยลาภสักการะที่ชาวโลกทั่วทุกทิศพากันนำมาถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใสแต่พระองค์มิได้มีพระทัยติดอยู่ในลาภสักการะเหล่านั้นให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย
เมื่อพระองค์ทรงทำนายสุบินนิมิตดังนี้และทรงทำสรีรกิจส่วนพระองค์เสร็จแล้วจึงเสด็จไปประทับนั่งพักผ่อนพระอิริยาบถณโคนต้นไทรใหญ่ซึ่งไม่ไกลจากที่นั้น
นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส
ขณะที่พระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่นั้นสุชาดาธิดาของเสนานีกุฎุมพีได้นำมธุปายาสที่เธอได้หุงไว้มาถวายแด่พระองค์พร้อมกับถวายบังคมลากลับไป
เมื่อนางสุชาดากลับไปแล้วพระองค์ได้เสด็จไปที่ริมแม่น้ำเนรัญชราเพื่อสรงน้ำและเสวยข้าวมธุปายาสทั้งหมด 49 ก้อนเมื่อเสวยจนหมดแล้วจึงได้นำถาดทองไปลอยที่แม่น้ำเนรัญชราก่อนนำไปลอยได้อธิษฐานว่า
“..ถ้าเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำเถิดแต่ถ้ายังไม่ตรัสรู้ก็ขอให้ถาดทองลอยไปตามกระแสน้ำเถิด”
— พระสมณโคดม
เมื่ออธิษฐานจบแล้วถาดทองได้ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปและได้จมลงสู่นาคภิภพไปกระทบกับถาดทอง 3 ใบของอดีตพระพุทธเจ้า 3 พระองค์คือ
1 พระกกุสันธพุทธเจ้า
2 พระโกนาคมนพุทธเจ้า
3 พระกัสสปพุทธเจ้า
ตรัสรู้
พระสิทธัตถะโคดมทรงประทับนั่งขัดสมาธิผินพระพักตร์สู่เบื้องบูรพาทิศตั้งจิตแน่แน่วว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญานจักไม่ลุกขึ้นจากสมาธิบัลลังก์ในคืนนั้นท้าววสวัตตีเข้าทำการขัดขวางการบำเพ็ญเพียรของพระมหาบุรุษแต่ก็พ่ายแพ้ไปพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยเรียกว่าการเข้าฌานเพื่อเป็นบาทของวิปัสสนาญาณจนเวลาผ่านไปพระองค์ได้บรรลุถึงญาณต่างๆดังนี้
• ปฐมยามทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณคือการระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้
• มัชฌิมยามทรงบรรลุจุตูปปาตญาณคือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
• รุ่งปัจฉิมยามทรงบรรลุอาสวักขยญาณคือรู้วิธีกำจัดกิเลส(มาร) ด้วยอริยสัจ 4 (ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์จึงพบกับความสุขสว่างอย่างแท้จริงซึ่งเรียกกันว่าทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกในโลกตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ณพุทธคยากรุงราชคฤห์แคว้นมคธขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา
เสวยวิมุตติสุข
สัปดาห์ที่ 1 และ 2
หลังจากที่พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ประทับเสวยวิมุตติสุข(สุขที่เกิดจากความหลุดพ้น) ณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์7 วันเพื่อพิจารณาปฏิจจสมุปบาททั้งสายเกิดและสายดับจากนั้นในสัปดาห์ที่2 ได้เสด็จไปทรงยืนอยู่กลางแจ้งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรงทำอุปหารคือยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตรตลอด7 วันสถานที่เสด็จมาทรงยืนทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นได้นามว่าอนิมิสเจดีย์
สัปดาห์ที่ 3
ในสัปดาห์ที่ 3 หลังจากตรัสรู้พระพุทธเจ้าทรงเนรมิตที่จงกรมแก้วขึ้นณกึ่งกลางระหว่างอนิมิสเจดีย์กับต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้วเสด็จจงกรมณที่นั้นเป็นเวลา 7 วันสถานที่นั้นได้นามว่ารัตนจงกรมเจดีย์
สัปดาห์ที่ 4
ในสัปดาห์ที่ 4 จากวันที่ตรัสรู้พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นประทับ(นั่ง) ขัดสมาธิณเรือนแก้วที่เทวดาเนรมิตถวายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้นศรีมหาโพธิ์ทรงพิจารณาธรรมตลอดเวลา๗วันสถานที่นั้นเรียกว่ารัตนฆรเจดีย์ในหนังสือพระปฐมสมโพธิกถากล่าวว่าในสัปดาห์ที่ 1-3 พระฉัพพรรณรังสี(รัศมี 6 ประการ) ยังมิได้โอภาสออกจากพระวรกายจนในสัปดาห์ที่4 เมื่อเสด็จประทับ(นั่ง) ขัดสมาธิทรงพิจารณาธรรมในเรือนแก้วแล้วพระฉัพพรรณรังสีจึงมีโอภาสออกมาจากพระวรกาย
สัปดาห์ที่ 5
หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาธรรมในเรือนแก้วแล้วพระองค์จึงเสด็จไปประทับใต้ต้นไทรธิดามาร3 พี่น้องคือนางราคานางอรดีนางตัณหาได้อาสาผู้เป็นบิดาไปทำลายตบะเดชะของพระพุทธองค์ด้วยการเนรมิตร่างเป็นสตรีที่สวยงามในวัยต่างๆตลอดจนแสดงอิตถียาโดยการฟ้อนรำขับร้องแต่พระพุทธองค์ไม่ทรงเอาพระทัยใส่กลับขับไล่ธิดามารให้หลีกไป
สัปดาห์ที่ 6
ในสัปดาห์ที่หกหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับณใต้ต้นมุจลินท์(ต้นจิก) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาประทับอยู่ที่นี่ได้บังเกิดมีฝนและลมหนาวตกพรำตลอดเจ็ดวันไม่ขาดสายพญานาคชื่อมุจลินท์ได้ขึ้นจากสระน้ำที่อยู่ในบริเวณเดียวกันนี้เข้าไปวงขนด 7 รอบแล้วแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าเพื่อป้องกันลมฝนมิให้พัดและสาดกระเซ็นมาต้องพระวรกายครั้นฝนหายฟ้าสางพญานาคจึงคลายขนดออกแล้วจำแลงเป็นเพศมาณพยืนเฝ้าพระพุทธเจ้าทางเบื้องพระพักตร์
ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงทรงเปล่งอุทานจากความคิดว่า
“..ความสงัดคือความสุขของบุคคลผู้มีธรรมอันได้สดับแล้วได้รู้เห็นสังขารทั้งปวงตามเป็นจริงอย่างไรความสำรวมไม่เบียดเบียนในสัตว์ทั้งหลายและความเป็นผู้ปราศจากกำหนัดหรือสามารถก้าวล่วงพ้นซึ่งกามทั้งปวงเสียได้เป็นสุขอันประเสริฐในโลกความขาดจากอัสมิมานะหรือการถือตัวตนหากกระทำให้(การถือตัว) หมดสิ้นไปได้นั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง”
— พระพุทธองค์
สัปดาห์ที่ 7
เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากร่มไม้จิกแล้วก็เสด็จไปประทับเสวยวิมุตติสุขณร่มไม้เกดซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา7 วันแล้วจึงทรงออกจากสมาธิท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์) ผู้เป็นจอมเทพของดาวดึงส์ทรงทราบว่านับแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา 7 สัปดาห์รวม 49 วันมิได้เสวยภัตตาหารเลยจึงนำผลสมออันเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกมาน้อมถวายพระพุทธองค์จึงเสวยผลสมอทิพย์นั้นแล้วทรงบ้วนพระโอษฐ์(ปาก) ด้วยน้ำที่ท้าวสักกเทวราชถวายจากนั้นเสด็จประทับณร่มไม้เกดตามเดิม
ประสานบาตรแล้วรับข้าวสัตตูก้อนสัตตูผง
หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 49 วันพ่อค้าสองพี่น้องชื่อตปุสสะและภัลลิกะได้รับคำแนะนำจากเทวดาซึ่งเคยเป็นญาติกับพ่อค้าทั้งสองในอดีตชาติให้นำภัตตาหารน้อมถวายแด่พระพุทธองค์เพื่อประโยชน์สุขแก่ทั้งสองสิ้นกาลนานเมื่อตปุสสะและภัลลิกะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ณร่มไม้เกดต่างมีจิตเลื่อมใสศรัทธาจึงเข้าไปทำการอภิวาทและถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงพระพุทธองค์มีพระประสงค์จะรับแต่บาตรที่ฆฏิการพรหมถวายในวันเสด็จออกบรรพชาได้อันตรธานไปท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 จึงได้เหาะนำบาตรศิลามาถวายองค์ละใบพระองค์จึงทรงประสานบาตรทั้ง 4 ใบนั้นเป็นใบเดียวกันแล้วใช้รับข้าวสัตตุก้อนสัตตุผง
พระพุทธเจ้าทรงรับข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงที่พ่อค้าสองพี่น้องถวายด้วยความเลื่อมใสเมื่อทรงทำภัตกิจเสร็จแล้วพ่อค้าทั้งสองทูลขอถึงพระพุทธและพระธรรมเป็นที่พึ่งนับถือสูงสุดในชีวิตเพราะขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์บังเกิดขึ้นถือเป็นเทววาจิกอุบาสกนับเป็นอุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา
ประทานพระเกศา
หลังจากที่ตปุสสะและภัทลิกะ(ผู้ที่ถวายสัตตูก้อนสัตตูผง) ได้ขอถึงพระพุทธและพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งสูงสุดในชีวิตถือเป็นปฐมอุบาสกในพระพุทธศาสนาแล้วได้ทูลขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การอภิวาทต่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้บูชาพระพุทธองค์ทรงลูบพระเศียรเกล้าด้วยพระหัตถ์ขวามีพระเกศา 8 เส้นอยู่บนฝ่าพระหัตถ์จึงโปรดประทานพระเกศาทั้ง 8 เส้นนั้นแก่พ่อค้าทั้งสองโดยแบ่งให้คนละครึ่ง( 4 เส้น) เมื่อกราบบังคมลาไปสู่บ้านเมืองของตนแล้วพ่อค้าทั้งสองได้สร้างพระสถูปบรรจุพระเกศาไว้เป็นที่สักการบูชาแก่มหาชน
ระลึกถึงดอกบัว 4 เหล่า
ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้ต้นไทรพระองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้นั้นมีความละเอียดและลึกซึ้งมากเป็นสิ่งที่เหล่าปุถุชนคนธรรมดาผู้มากไปด้วยกิเลสยากจะเข้าใจได้เมื่อได้ฟังธรรมแล้วจะมีใครสักคนที่จะเข้าใจธรรมของพระพุทธองค์ไม่หากสอนไปแล้วเกิดไม่เข้าใจก็เปล่าประโยชน์พระทัยหนึ่งจึงเกิดความมักน้อยว่าจะไม่แสดงธรรมเพื่อโปรดใครเลยด้วยพระพุทธดำริของพระพุทธเจ้าได้ทราบไปถึงท้าวสหัมบดีพรหมในพรหมโลกท้าวสหัมบดีพรหมจึงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งถึงกับทรงเปล่งวาจาอันดังถึงสามครั้งว่า"โลกจะฉิบหายในครั้งนี้" ท้าวสหัมบดีพรหมพร้อมเทพบริษัทก็ได้ลงจากพรหมโลกมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรมโปรดชาวโลกโดยอธิบายว่าในโลกนี้ยังมีสัตว์ในโลกทั้งหลายนี้ที่มีกิเลสเบาบางพอที่จะฟังธรรมของพระองค์ได้นั้นยังมีอยู่ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดชาวโลกในครั้งนี้เทอญพระพุทธองค์ทรงกล่าวตอบท้าวสหัมบดี"เราตถาคตจะได้เปิดประตูอมตธรรมต้อนรับชนผู้ใคร่สดับซึ่งเราชำนาญดีในหมู่มนุษย์" หลังจากพระพุทธองค์ทรงได้พิจารณาเห็นความแตกต่างของระดับสติปัญญาของบุคคลในโลกนี้เปรียบเสมือนบัว 4 เหล่าดังนี้
1 อุคฆฏิตัญญูคือพวกที่สติปัญญาดีเมื่อฟังธรรมก็สามารถเข้าใจได้รวดเร็วเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
2 วิปจิตัญญูคือพวกที่มีสติปัญญาปานกลางเมื่อฟังธรรมแล้วพิจารณาตามฝึกฝนเพิ่มเติมจะเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้าเสมือนดอกบัวที่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
3 เนยยะคือพวกที่สติปัญญาน้อยเมื่อฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและฝึกฝนอยู่เสมอมีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อในที่สุดก็จะสามารถเข้าใจได้เสมือนดอกบัวใต้น้ำซึ่งจะโผล่ขึ้นเบ่งบานในวันหนึ่ง
4 ปทปรมะคือพวกไร้สติปัญญาแม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจเปรียบเสมือนบัวที่จมอยู่กับโคลนตมไม่มีโอกาสเบ่งบาน
เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาด้วยพระปรีชาญาณก็ทรงอธิษฐานว่าจะแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์และตั้งพุทธปณิธานที่จะดำรงพระชนม์อยู่จนกว่าจะได้อยู่ประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายสำเร็จประโยชน์แก่ชนทุกหมู่เหล่า
แสดงปฐมเทศนา
พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงอาฬารดาบสและอุทกดาบสแต่ทิพยจักษุญาณได้บอกว่าทั้งสองสิ้นชีพไปแล้วจึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ทรงทราบว่าปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันจึงได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนาคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 คือวันอาสาฬหบูชานั่นเองซึ่งกล่าวถึงสุด 2 อย่างอันบรรพชิตไม่ควรปฏิบัติคือการลุ่มหลงมัวเมาในกาม 1 การทรมาณตนให้ลำบากเปล่า 1 มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางที่ควรดำเนินคืออริยสัจ 4 และมรรคมีองค์แปด
ในที่สุดท่านโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาบันพระพุทธองค์จึงทรงเปล่งวาจาว่า
บาลี : อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ
ไทย : โกณฑัญญะเธอได้รู้แล้วเธอได้เข้าใจแล้ว
— พระพุทธเจ้า
ท่านโกณฑัญญะจึงได้สมญาว่าพระอัญญาโกณฑัญญเถระและได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนาเป็นเหตุให้พระรัตนตรัยคือพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ครบองค์ 3 เป็นครั้งแรกในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
จากนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรพระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ขณะสดับพระธรรมเทศนาส่งจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนาจิตก็หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานสามารถละสังโยชน์ครบ 10 ประการได้บรรลุพระนิพพานเป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง 5 รูป
ยสะและญาติออกบวช
หลังจากโปรดปัญจวัคคีย์เป็นกลุ่มแรกแล้วก็มียสะที่หนีออกจากเมืองพาราณสีและพระญาติอีก 54 คนเข้ามาขอบวชและฟังพระธรรมเทศนาจนได้พระอรหันต์สาวก 60 รูปพระองค์ทรงส่งพระสาวกเหล่านี้ออกไปประกาศพระศาสนาตามตำบลต่างๆและได้แสดงธรรมแก่เศรษฐีคนหนึ่งเป็นชาวเมืองพาราณสีนางสุชาดามารดาของพระยสเถระและนางวิสาขาภรรยาเก่าของท่านจนบรรลุโสดาบันขอแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาและถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนับเป็นอุบาสกคนแรกและอุบาสิกาคู่แรกที่ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
โปรดภัททวัคคีย์
จากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปตำบลอุรุเวลาเสนานิคมก่อนที่จะไปที่นั่นได้พบกับภัททวัคคีย์ที่กำลังตามหานางคณิกาซึ่งโขมยเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเขาไปพระพุทธองจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ 4 โปรดภัททวัคคีย์จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลระดับต่างๆเช่นโสดาบันสกทาคามีจากนั้นจึงขอบวชพระพุทธองค์ได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาจากนั้นพระพุทธองค์ทรงส่งภัททวัคคีย์ไปประกาศพระศาสนาเมื่อครบ 30 คนแล้วจึงเดินทางต่อไป
โปรดชฎิล 3 พี่น้อง
เมื่อถึงแม่น้ำเนรัญชราก็ได้พบกับชฎิล 3 พี่น้องได้แก่อุรุเวลกัสสปะนทีกัสสปะและคยากัสสปะและบริวาร 1,000 คน(อุรุเวลฯ 500 คน, นทีฯ 300 คนและคยาฯ 200 คน) ซึ่งเป็นนักบวชลัทธิบูชาไฟและเป็นที่เคารพบูชาของชาวกรุงราชคฤห์ในครั้งแรกพระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์โดยการปราบพญานาคให้มีขนาดเล็กครั้งที่สองทรงแสดงพุทธานุภาพคือมีเทวดามาเข้าเฝ้าและครั้งสุดท้ายทรงแสดงนิมิตจงกรมกลางน้ำแต่ถึงอย่างไรอุรุเวลกัสปะก็ไม่เลื่อมใสอยู่ดีจนพระพุทธองค์ต้องแสดงธรรมโปรดทำให้อุรุเวลกัสสปะเกิดความเลื่อมใสขอบวชเป็นพระสาวกพระพุทธเจ้าจึงทรงให้อุรุเวลฯไปชี้แจงแก่บริวาร 500 คนให้รับทราบบริวารทั้งหมดรับทราบและขอบวชจากพระพุทธเจ้าจากนั้นเรื่องจึงได้ทราบถึงนทีฯซึ่งมีบริวาร 300 คนและคยาฯซึ่งมีบริวาร 200 คนชฎิลทั้ง 2 และบริวารทั้งหมดจึงขอบวชตามพระพุทธองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาจากนั้นพระพุทธเจ้าทรงพาทั้ง 1,003 รูปไปที่คยาสีสะแล้วทรงแสดงธรรมอาทิตตปริยายสูตรแก่ชฎิลทั้ง 3 และบริวารทั้งหมดจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
โปรดพระเจ้าพิมพิสาร
พระพุทธองค์ทรงพาชฎิล 3 พี่น้องและบริวารจำนวน 1,000 รูปไปยังกรุงราชคฤห์ทรงพักที่สวนตาลหนุ่มเมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยข้าราชบริพารไปเข้าเฝ้าเมื่อเสด็จไปสวนตาลพระเจ้าพิมพิสารทรงนมัสการพระพุทธเจ้าส่วนข้าราชบริพารบางส่วนยังทำเมินเฉยอยู่
พระพุทธองค์จึงทรงทำลายทิฐิมานะของข้าราชบริพารเหล่านั้นลงโดยถามพระอุรุเวลกัสสปะถึงเหตุที่เลิกศรัทธาลัทธิบูชาไฟอุรุเวลฯตอบว่าลัทธิเดิมของตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าในประชาชนทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกันพระพุทธเจ้าทรงสังเกตเห็นบรรดาข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสารได้คลายทิฐิมานะลงแล้วจึงทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสารข้าราชบริพารและประชาชนทั้งหลาย
ผลที่ได้รับคือพระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพารส่วนใหญ่ได้ดวงตาเห็นธรรมจึงได้ทรงแสดงตนเป็นอุบาสกขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณที่พึ่งตลอดชีวิตพระเจ้าพิมพิสารยังได้ถวายสวนเวฬุวันให้พระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหมดวัดเวฬุวันจึงเป็นวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนาในยามดึกของค่ำวันนั้นบรรดาเปรตทั้งหลายที่เคยเป็นญาติของพระเจ้าพิมพิสารในอดีตชาติทราบว่าพระเจ้าพิมพิสารบำเพ็ญกุศลมีการถวายทานเป็นต้นต่างก็รอรับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารจะอุทิศส่งไปให้เมื่อรอจนสิ้นวันนั้นไม่เห็นพระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนบุญให้ตามที่หวังจึงพากันส่งเสียงร้องด้วยศัพท์สำเนียงอันน่าสะพรึงกลัวพระเจ้าพิมพิสารได้สดับเสียงนั้นเกิดความกลัวมากจึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระพุทธองค์พระพุทธองค์ตรัสให้ทราบความเป็นมาบอกให้พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลท้าวเธอก็ได้อุทิศส่วนกุศลไปให้ทันใดนั้นอาหารทิพย์ก็ปรากฏมีแก่เปรตเหล่านั้นต่างพากันบริโภคจนอิ่มหนำสำราญร่างกายที่เคยผอมโซทุเรศน่าเกลียดน่ากลัวก็กลับดูสะอาดสมบูรณ์ขึ้น
แต่งตั้งพระอัครสาวกทั้งสอง
พระอัครสาวกที่สำคัญของพระพุทธเจ้าคือพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะครั้งนั้นคืออุปติสสะและโกลิตะในขณะนั้นพระพุทธองค์กำลังประทับท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมากเมื่อเห็นมาณพทั้งสองกำลังเดินมาจึงตรัสบอกภิกษุสงฆ์ว่าภิกษุทั้งหลายมาณพทั้งสองคนนั้นจะเป็นอัครสาวกของเราตถาคตมาณพทั้งสองได้ทูลขออุปสมบทต่อพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ทั้ง 2 ได้ปฏิบัติธรรมอย่างพากเพียรจนพระมหาโมคคัลลานะอุปสมบทได้7 วันก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ส่วนพระสารีบุตรอุปสมบทได้กึ่งเดือนจึงสำเร็จพระอรหันต์พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายการที่พระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหันต์ช้ากว่าพระมหาโมคคัลลานะว่าเป็นเพราะพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญามากต้องใช้บริกรรมใหญ่เปรียบด้วยการเสด็จไปของพระราชาต้องตระเตรียมราชพาหนะและราชบริวารจึงจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าการไปของคนสามัญ
ในวันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือนมาฆะ(วันมาฆบูชา) ในตอนบ่ายพระพุทธเจ้าทรงประกาศแต่งตั้งพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเลิศกว่าผู้อื่นในทางปัญญาพระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเลิศกว่าภิกษุรูปอื่นในฐานะมีฤทธิ์ล้ำเลิศเมื่อล่วงค่ำพระสงฆ์ 1,250 รูปจึงมาถึงวัดพระเวฬุวันพระพุทธเจ้าจึงทรงประทานโอวาทปาติโมกข์แก่ทั้งหมดรวมทั้งอัครสาวกทั้ง 2 พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระสารีบุตรว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุรูปอื่นในทางปัญญาเป็นผู้สามารถจะแสดงพระธรรมจักรและพระจตุราริยสัจให้กว้างขวางพิสดารเสมอพระองค์เมื่อมีภิกษุมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อจะเที่ยวจาริกไปพระพุทธเจ้ามักจะตรัสให้ภิกษุที่มาทูลลาไปลาพระสารีบุตรก่อนเพื่อให้พระสารีบุตรได้สั่งสอนเช่นครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองเทวทหะภิกษุเป็นจำนวนมากได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลลาไปชนบทพระพุทธเจ้าก็ตรัสสั่งให้ไปลาพระสารีบุตรแล้วทรงยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาอนุเคราะห์เพื่อนบรรพชิตทั้งหลายเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลพระสารีบุตรได้รับการยกย่องมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า"พระธรรมเสนาบดี" พระสงฆ์ผู้ประกาศพระศาสนาได้ชื่อว่าธรรมเสนาเป็นกองทัพธรรมที่ประกาศเผยแผ่ธรรมเมื่อไปถึงที่ไหนก็ทำให้เกิดประโยชน์และความสุขที่นั่นพระพุทธเจ้าเป็นจอมธรรมเสนาเรียกว่า"พระธรรมราชา" โดยมีพระสารีบุตรเป็นพระธรรมเสนาบดีหรือแม่ทัพฝ่ายธรรม
ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
วันมาฆบูชาเป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาติโมกข์แก่มหาสังฆสันนิบาตในมณฑลวัดเวฬุวันมหาวิหารซึ่งในวันนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการคือ
1 วันนี้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์(วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3)
2 พระสาวกทั้ง 1,250 รูปนี้ต่างได้มาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
3 พระสาวกทั้ง 1,250 รูปนี้ล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้นเรียกว่าพิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
4 พระสาวก 1,250 รูปนี้ล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ละสังโยชน์ครบ 10 ประการ
ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่างจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าจาตุรงคสันนิบาต(มาจากศัพท์บาลีจตุ+องฺค+สนฺนิปาตแปลว่าการประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) โดยประชุมกันณวัดเวฬุวันมหาวิหารเมืองราชคฤห์หลังจากตรัสรู้แล้ว 9 เดือน( 45 ปีก่อนพุทธศักราช)
ปรินิพพาน
ขณะที่พระโคตมพุทธเจ้ามีพระชนมายุราว 80 พรรษาพระวรกายได้เสื่อมทรุดไปตามสังขารวัยของพระองค์นอกจากนี้ยังมีพระโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและยังมีพระอาการปวดเรื้อรังในปีสุดท้ายของพระองค์นั้นพระองค์ประชวรพระนาภีอย่างรุนแรงจนเกือบจะปรินิพพานเมื่อพระอาการดีขึ้นนายจุนทะกัมมารบุตรได้นำสูกรมัททะวะมาถวายหลังจากเสวยเสร็จได้ทรงพระบังคลหนักเป็นพระโลหิตแต่ทรงข่มพระอาการมุ่งเสด็จต่อไปยังเมืองกุสินาราประทับณต้นสาละของมัลลกษัตริย์แห่งกุสินาราแล้วเสด็จบรรทมสีห์ไสยาสน์ขณะนั้นปริพาชกชื่อสุภัททะมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อถามปัญหาบางประการพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้สุภัททะจนเข้าใจสุภัททะบรรลุโสดาบันและบวชเป็นภิกษุต่อหน้าพระพุทธองค์เป็นคนสุดท้ายก่อนปรินิพพานพระพุทธองค์ได้ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า
“..ภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายสังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาท่านจงทำกิจของตนและกิจของผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด”
หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพานระหว่างใต้ต้นสาละคู่ณกรุงกุสินาราณปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขปรุณมีเพ็ญเดือน 6 ขณะมีพระชนมายุ 80 พรรษาประเทศกัมพูชาและพม่านับปีนี้เป็น พ.ศ. 1 แต่ในประเทศไทยนับ พ.ศ. 1 หนึ่งปีหลังจากการปรินิพพานซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อย
(มโนเลาหวณิช : สันนิษฐานว่าพระอาการประชวรมีสาเหตุมาจากการอุดตันของเส้นเลือดใหญ่ในลำไส้เล็กส่วนกลาง(superior mesenteric artery) เมื่อกล้ามเนื้อลำไส้ของพระองค์ตายจากการอุดตันของเส้นเลือดทำให้เลือดจำนวนมากไหลเข้าสู่ลำไส้เกิดการถ่ายเป็นเลือดนอกจากนี้แบคทีเรียจำนวนมากได้เข้าสู่ช่องท้องทำให้เกิดการอักเสบของช่องท้องแบคทีเรียส่วนหนึ่งเข้าสู่กระแสพระโลหิตทำให้เกิดพระอาการช็อกและหนาวสั่นอาการช็อกทำให้พระองค์เกิดการกระหายน้ำ)
เนื่องจากไม่สามารถพระดำเนินได้เองจึงทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาถวายและรับสั่งให้นำผ้าสังฆาฏิปูบริเวณลานหนา 4 ชั้นเพื่อให้ทรงประทับเมื่อพระอาการดูท่าไม่ดีเหล่าภิกษุได้ช่วยกันนำพระองค์เข้าไปในเมืองเพื่อรักษาแต่ไม่สำเร็จจึงเสด็จปรินิพพานในกรุงกุสินาราหลังวันวิสาขบูชาราว 5-6 เดือนในช่วงออกพรรษา
หลังจากปรินิพพานแล้วมัลลกษัตริย์ทั้งหลายมีมติที่จะเคลื่อนพระพุทธสรีระออกจากเมืองไปประตูทางทิศใต้ แต่ก็ไม่สามารถอัญเชิญพระพุทธสรีระไปได้แม้แต่จะขยับเขยื้อนให้เคลื่อนจากสถานที่สักน้อยหนึ่งมัลลกษัตริย์พากันตกตลึงในเหตุอัศจรรย์ที่ไม่เคยประสบเช่นนั้นจึงได้พร้อมกันไปเรียนถามพระอนุรุทธะเถระซึ่งเป็นประธานสงฆ์อยู่พระอนุรุทธะเถระได้กล่าวว่าเหล่าเทวดามีความประสงค์ที่จะเคลื่อนพระพุทธสรีระให้เข้าเมืองจากทิศเหนือแล้วออกไปยังประตูทางทิศตะวันออกมัลลกษัตริย์ทั้งหลายต่างได้ทำตามความประสงค์ของเหล่าเทวดา
หลังจากนั้นพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพได้ถูกจัดขึ้นในวันที่ 8 หลังพุทธปรินิพพานเมื่อหลังจากที่พระเพลิงเผาซึ่งเผาไหม้พระพุทธสรีระดับมอดลงแล้วบรรดากษัตริย์มัลละทั้งหลายจึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดใส่ลงในหีบทองแล้วนำไปรักษาไว้ภายในนครกุสินาราส่วนเครื่องบริขารต่างๆของพระพุทธเจ้าได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐานตามที่ต่างๆอาทิผ้าไตรจีวรอัญเชิญไปประดิษฐานที่แคว้นคันธาระบาตรอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองปาตลีบุตรเป็นต้น
เมื่อบรรดากษัตริย์จากแคว้นต่างๆได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานที่นครกุสินาราจึงได้ส่งตัวแทนไปขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเพื่อนำกลับมาสักการะยังแคว้นของตนแต่ก็ถูกกษัตริย์มัลละปฏิเสธจึงทำให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งและเตรียมทำสงครามกันแต่ในสุดเหตุการณ์ก็มิได้บานปลายเนื่องจากโทณพราหมณ์ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยเสนอให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเท่าๆกันซึ่งกษัตริย์แต่ละเมืองทรงสร้างเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุตามเมืองต่างๆ
ที่มา : สารานุกรมพระพุทธศาสนา
--------------------