เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

สุวรรณสาม : มหานิบาตชาดก ตอนที่ ๓

0



บำเพ็ญเมตตาบารมี [สุวรรณสามชาดก (สุ)] 

พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นสุวรรณสามดาบส เลี้ยงดูพ่อแม่ที่ตาบอดในป่า..



เรื่องโดยย่อ..


ครั้งหนึ่งมีสหายสองคนรักใคร่กันมากต่างก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งสองคนตั้งใจว่าถ้าฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวอีกฝ่ายหนึ่งมีลูกชายก็จะให้แต่งงานเพื่อครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะได้ผูกพันใกล้ชิดกันไม่มีเสื่อมคลายอยู่ต่อมาฝ่ายหนึ่งก็มีลูกชายชื่อว่าทุกูลกุมารอีกฝ่ายหนึ่งมีลูกสาวชื่อว่าปาริกากุมารีเด็กทั้งสองมีรูปร่างหน่าตางดงามสติปัญญาฉลาดเฉลียวและมีจิตใจมั่นอยู่ในศีล 


เมื่อเติบโตขึ้นพ่อแม่ของทั้งสองก็ตกลงจะทำตามที่เคยตั้งใจไว้คือให้ลูกของทั้งสองบ้านได้แต่งงานกันแต่ทั้งทุกูลกุมารและปาริกากุมารีต่างบอกกับพ่อแม่ของตนว่าไม่ต้องการแต่งงานกันแม้จะรู้ดีว่าฝ่ายหนึ่งเป็นคนดีรูปร่างหน้าตางดงามและเป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่เด็กก็ตาม 


ในที่สุดพ่อแม่ของทั้งสองก็จัดการแต่งงานให้จนได้แต่แม้ว่าทุกูลและปาริกาจะแต่งงานกันแล้วต่างยังคงประพฤติปฏิบัติเสมือนเป็นเพื่อนกันตลอดมาไม่เคยประพฤติต่อกันฉันสามีภรรยายิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนมีความปราถนาตรงกันคือประสงค์จะออกบวชไม่อยากดำเนินชีวิตอย่างชาวบ้านธรรมดาซึ่งจะต้องพัวพันอยู่กับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อเป็นอาหารบ้างเพื่อป้องกันตัวเองบ้าง


เมื่อได้อ้อนวอนพ่อแม่ทั้งสองบ้านอยู่เป็นเวลานานในที่สุดทั้งสองก็ได้รับคำอนุญาตให้บวชได้จึงพากันเดินทางไปสู่ป่าใหญ่และอธิษฐานออกบวชนุ่งห่มผ้าย้อมเปลือกไม้และไว้มวยผมอย่างดาบสบำเพ็ญธรรมอยู่ศาลาในป่านั้นด้วยความเมตตาอันมั่นคงของทั้งสองคนบรรดาสิงสาราสัตว์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต่างก็มีเมตตาจิตต่อกันไม่ทำร้ายซึ่งกันและกันต่างหากินอยู่ด้วยความสุขสำราญ 


ต่อมาวันหนึ่งพระอินทร์เล็งเห็นอันตรายซึ่งจะบังเกิดแก่ทุกูลดาบสและปาริกาดาบสินีจึงตรัสบอกแก่ดาบสว่า 

   "ข้าพเจ้าเล็งเห็นว่าอันตรายจะเกิดขึ้นแก่ท่านขอให้ท่านจงมีบุตรเพื่อเป็นผู้ช่วยเหลือปรนนิบัติในยามยากลำบากเถิด


ทุกูลดาบสจึงถามว่า"อาตมาบำเพ็ญพรตเพื่อความพ้นทุกข์อาตมาจะมีบุตรได้อย่างไรอาตมาไม่ต้องการดำเนินชีวิตอย่างชาวโลกที่จะทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในความทุกข์อีก" 


พระอินทร์ตรัสว่า"ท่านไม่จำเป็นต้องประพฤติปฏิบัติอย่างชาวโลกแต่ท่านจำเป็นต้องมีบุตรไว้ช่วยเหลือปรนนิบัติขอให้เชื่อข้าพเจ้าเถิดท่านเพียงแต่เอามือลูบท้องนางปาริกาดาบสินีนางก็จะตั้งครรภ์ลูกในครรภ์นางจะได้เป็นผู้ดูแลท่านทั้งสองต่อไป"


เมื่อพระอินทร์ตรัสบอกดังนั้นทุกูลดาบสจึงทำตามต่อมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์ครั้นครบกำหนดก็คลอดบุตรมีผิวพรรณงดงามราวทองคำบริสุทธิ์จึงได้ชื่อว่า"สุวรรณสาม"ปาริกาดาบสสินีเลี้ยงดูสุวรรณสามจนเติบใหญ่อยู่ในป่านั้นมีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดแวดล้อมเป็นเพื่อนเล่นตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่สุวรรณสามหมั่นสังเกตจดจำสิ่งที่พ่อและแม่ได้ปฏิบัติเช่นการไปตักน้ำไปหาผลไม้เป็นอาหารเส้นทางที่ไปหาน้ำและอาหารสุวรรณสามพยายามช่วยเหลือพ่อและแม่กระทำกิจกรรมต่างๆเท่าที่จะทำได้เพื่อให้พ่อแม่ได้มีเวลาบำเพ็ญธรรมตามที่ประสงค์

 

วันหนึ่งเมื่อทุกูลดาบสและนางปาริกาออกไปหาผลไม้ในป่าเผอิญฝนตกหนักทั้งสองจึงหลบฝนอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้จอมปลวกโดยไม่รู้ว่าที่จอมปลวกนั้นมีงูพิษอาศัยอยู่น้ำฝนที่ชุ่มเสื้อฝ้าและมุ่นผมของทั้งสองไหลหยดลงไปในรูงูงูตกใจจึงพ่นพิษออกมาป้องกันตัวพิษร้ายของงูเข้าตาทั้งสองคนความร้ายกาจของพิษทำให้ดวงตาบอดมืดมิดไปทันทีทุกูลดาบสและนางปาริกาดาบสินีจึงไม่สามารถจะกลับไปถึงศาลาที่พักได้เพราะมองไม่เห็นทางต้องวนเวียนคลำทางอยู่แถวนั้นเอง

 

คนทั้งสองต้องเสียดวงตาเพราะกรรมในชาติก่อนเมื่อครั้งที่ทุกูลดาบสเกิดเป็นหมอรักษาตาปาริกาเกิดเป็นภรรยาของหมอนั้นวันหนึ่งหมอได้รักษาตาของเศรษฐีคนหนึ่งจนหายขาดแล้วแต่เศรษฐีไม่ยอมจ่ายค่ารักษาภรรยาจึงบอกกับสามีว่า
    "
พี่จงทำยาขึ้นอย่างหนึ่งให้มีฤทธิ์แรงแล้วเอาไปให้เศรษฐีผู้นั้นบอกว่าตายังไม่หายสนิทขอให้ใช้ยานี้ป้ายอีก" 


หมอตาทำตามที่ภรรยาบอกฝ่ายเศรษฐีเชื่อในสรรพคุณยาของหมอก็ทำตามตาของเศรษฐีก็กลับบอดสนิทในไม่ช้าด้วยบาปที่ทำไว้ในชาติก่อนส่งผลให้ทั้งสองคนต้องตาบอดไปในชาตินี้


ฝ่ายสุวรรณสามคอยพ่อแม่อยู่ที่ศาลาไม่เห็นกลับมาตามเวลาจึงออกเดินตามหาในที่สุดก็พบพ่อแม่วนเวียนอยู่ข้างจอมปลวกเพราะนัยน์ตาบอดหาทางกลับไม่ได้สุวรรณสามจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อแม่เล่าให้ฟังสุวรรณสามก็ร้องไห้แล้วก็หัวเราะพ่อแม่จึงถามว่าเหตุใดจึงร้องไห้แล้วก็หัวเราะเช่นนั้นสุวรรณสามตอบว่า 

   "ลูกร้องไห้เพราะเสียใจที่พ่อแม่นัยน์ตาบอดแต่หัวเราะเพราะลูกดีใจที่ลูกจะได้ปรนนิบัติดูแลตอบแทนพระคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกมาพ่อแม่อย่าเป็นทุกข์ไปเลยลูกจะปรนนิบัติไม่ให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อนแต่อย่างใด"


จากนั้นสุวรรณสามก็พาพ่อแม่กลับไปยังศาลาที่พักจัดหาเชือกมาผูกโยงไว้โดยรอบสำหรับพ่อแม่จะได้ใช้จับเป็นราวเดินไปทำอะไรๆได้สะดวกในบริเวณศาลานั้นทุกๆวันสุวรรณสามจะไปตักน้ำมาสำหรับพ่อแม่ได้ดื่มได้ใช้และไปหาผลไม้ในป่ามาเป็นอาหารและตนเอง

 

เวลาที่สุวรรณสามออกป่าหาผลไม้บรรดาสัตว์ทั้งหลายจะพากันมาแวดล้อมด้วยความไว้วางใจเพราะสุวรรณสามเป็นผู้มีเมตตาจิตไม่เคยทำอันตรายแก่ฝูงสัตว์สุวรรณสามจึงมีเพื่อนแวดล้อมเป็นบรรดาสัตว์นานาชนิดพ่อแม่ลูกทั้งสามจึงมีแต่ความสุขสงบปราศจากความทุกข์ร้อนวุ่นวายทั้งปวง

 

อยู่มาวันหนึ่งพระราชาแห่งเมืองพาราณสีพระนามว่า"กบิลยักขราชเป็นผู้ชอบออกป่าล่าสัตว์พระองค์เสด็จออกล่าสัตว์มาจนถึงท่าน้ำที่สุวรรณสามมาตักน้ำไปให้พ่อแม่พระราชาสังเกตเห็นรอยเท้าสัตว์ชุกชุมในบริเวณนั้นจึงซุ่มคอยจะยิงสัตว์ที่ผ่านมากินน้ำขณะนั้นสุวรรณสามนำหม้อน้ำมาตักน้ำไปใช้ที่ศาลาดังเช่นเคยมีฝูงสัตว์เดินตามมาด้วยมากมายพระราชาทอดพระเนตรเห็นก็ทรงแปลกพระทัยว่าสุวรรณสามเป็นมนุษย์หรือเทวดาเหตุใดจึงเดินมากับฝูงสัตว์ครั้นจะเข้าไปถามก็เกรงว่าสุวรรณสามจะตกใจหนีไปก็จะไม่ได้ตัวจึงคิดจะยิงด้วยธนูให้หมดกำลังก่อนแล้วค่อยจับตัวไว้ซักถาม

 

เมื่อสุวรรณสามลงไปตักน้ำแล้วกำลังจะเดินกลับไปศาลาพระราชากบิลยักขราชก็เล็งยิงด้วยธนูอาบยาถูกสุวรรณสามที่ลำตัวทะลุจากขวาไปซ้ายสุวรรณสามล้มลงกับพื้นแต่ยังไม่ถึงตายจึงเอ่ยขึ้นว่า 

   "เนื้อของเรากินไม่ได้หนังของเราเอาไปทำอะไรก็ไม่ได้จะยิงเราทำไมคนที่ยิงเราเป็นใครยิงแล้วจะซ่อนตัวอยู่ทำไม


กบิลยักขราชได้ยินวาจาอ่อนหวานเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกพระทัยทรงคิดว่า
   "
หนุ่มน้อยนี้เป็นใครหนอถูกเรายิงล้มลงแล้วยังไม่โกรธเคืองกลับใช้ถ้อยคำอันอ่อนหวานแทนที่จะด่าว่าด้วยความโกรธแค้นเราจะต้องแสดงตัวให้เขาเห็น" 


คิดดังนั้นแล้วพระราชาจึงออกจากที่ซุ่มไปประทับอยู่ข้างๆสุวรรณสามพลางตรัสว่า 

   "เราชื่อกบิลยักขราชเป็นพระราชาแห่งแมืองพาราณสีเจ้าเป็นผู้ใดมาทำอะไรอยู่ในป่านี้" 


สุวรรณสามตอบไปตามความจริงว่า
   "
ข้าพเจ้าเป็นบุตรดาบสชื่อว่าสุวรรณสามพระองค์ยิงข้าพเจ้าด้วยธนูพิษได้รับความเจ็บปวดสาหัสพระองค์ประสงค์อะไรจึงยิงข้าพเจ้า" 


พระราชาไม่กล้าตอบความจริงจึงแสร้งตรัสเท็จว่า
   "
เราตั้งใจจะยิงเนื้อเป็นอาหารแต่พอเจ้ามาเนื้อก็เตลิดหนีไปหมดเราโกรธจึงยิงเจ้า" 


สุวรรณสามแย้งว่า
   "
เหตุใดพระองค์จึงตรัสอย่างนั้นบรรดาสัตว์ทั้งหลายในป่านี้ไม่เคยกลัวข้าพเจ้าไม่เคยเตลิดหนีข้าพเจ้าเลยสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า" 


พระราชาทรงละอายพระทัยที่ตรัสความเท็จแก่สุวรรณสามผู้ถูกยิงโดยปราศจากความผิดจึงตรัสตามความจริงว่า 

   "เป็นความจริงตามที่เจ้าว่าสัตว์ทั้งหลายมิได้กลัวภัยจากเจ้าเลยเรายิงเจ้าก็เพราะความโง่เขลาของเราเองเจ้าอยู่กับใครในป่านี้ออกตักน้ำไปให้ใคร" 


สุวรรณสามบ้วนโลหิตออกจากปากตอบพระราชาว่า
   "
ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อแม่ซึ่งตาบอดทั้งสองคนอยู่ในศาลาในป่านี้ข้าพเจ้าทำหน้าที่ปรนนิบัติพ่อแม่ดูแลหาน้ำและอาหารสำหรับท่านทั้งสองเมื่อข้าพเจ้ามาถูกยิงเช่นนี้พ่อแม่ก็จะไม่มีใครดูแลปรนนิบัติอีกต่อไปอาหารที่ศาลายังพอสำหรับวันแต่ไม่มีน้ำพ่อแม่ของข้าพเจ้าจะต้องอดน้ำและอาหารเมื่อปราศจากข้าพเจ้าโอพระราชาความทุกข์ความเจ็บปวดที่เกิดจากถูกยิงด้วยธนูของท่านนั้นยังไม่เท่าความทุกข์ความเจ็บปวดที่เป็นห่วงพ่อแม่ของข้าพเจ้าจะต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะขาดข้าพเจ้าผู้ปรนนิบัติต่อไปนี้พ่อแม่คงไม่ได้เห็นหน้าข้าพเจ้าอีกแล้ว"

 

สุวรรณสามรำพันแล้วร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจอย่างยิ่ง

 

พระราชาทรงได้ยินดังนั้นก็เสียพระทัยยิ่งนักว่าได้ทำร้ายสุวรรณสามผู้มีความกตัญญูสูงสุดผู้ไม่เคยทำอันตรายต่อสิ่งใดเลยจึงตรัสกับสุวรรณสามว่า
   "
ท่านอย่ากังวลไปเลยสุวรรณสามเราจะรับดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ของท่านให้เหมือนกับที่ท่านได้เคยทำมาจงบอกเราเถิดว่าพ่อแม่ของท่านอยู่ที่ไหน"


สุวรรณสามได้ยินพระราชาตรัสให้สัญญาก็ดีใจกราบทูลว่า
   "
พ่อแม่ของข้าพเจ้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนักขอเชิญเสด็จไปเถิด"


พระราชาตรัสถามว่าสุวรรณสามจะสั่งความไปถึงพ่อแม่บ้างหรือไม่สุวรรณสามจึงขอให้พระราชาบอกพ่อแม่ว่าตนฝากกราบไหว้ลาพ่อแม่มากับพระราชาเมื่อสุวรรณสามประนมมือกราบลงแล้วก็สลบไปด้วยธนูพิษลมหายใจหยุดมือเท้าและร่างกายแข็งเกร็งด้วยพิษยา 


พระราชาทรงเศร้าเสียพระทัยยิ่งนักรำลึกถึงกรรมอันหนักที่ได้ก่อขึ้นในครั้งนี้แล้วก็ทรงระลึกได้ว่าทางเดียวที่จะช่วยผ่อนบาปอันหนักของพระองค์ได้ก็คือปฏิบัติตามวาจาที่สัญญาไว้กับสุวรรณสามคือไปปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สุวรรณสามเหมือนที่สุวรรณสามได้เคยกระทำมา

 

พระราชากบิลยักขราชจึงนำหม้อน้ำที่สุวรรณสามตักไว้นั้นออกเดินทางไปศาลาที่สุวรรณสามบอกไว้ครั้นไปถึงทุกูลดาบสได้ยินเสียงฝีเท้าพระราชาก็ร้องถามขึ้นว่า
   "
นั่นใครขึ้นมาไม่ใช่สุวรรณสามลูกเราแน่ลูกเราเดินฝีเท้าเบาไม่ก้าวหนักอย่างนี้"


พระราชาไม่กล้าบอกไปในทันทีว่าพระองค์ยิงสุวรรณสามตายแล้วจึงบอกแต่เพียงว่า
   "
ข้าพเจ้าเป็นพระราชาแห่งเมืองพาราณสีมาเที่ยวยิงเนื้อในป่านี้"


ดาบสจึงเชิญให้พระราชาเสวยผลไม้และเล่าว่าบุตรชายชื่อสุวรรณสามเป็นผู้ดูแลจัดหาอาหารไว้ให้ขณะนี้สุวรรณสามออกไปตักน้ำอีกสักครู่ก็คงจะกลับมาพระราชาจึงตรัสด้วยความเศร้าเสียพระทัยว่า
   "
สุวรรณสามไม่กลับมาแล้วบัดนี้สุวรรณสามถูกธนูของข้าพเจ้าถึงแก่ความตายแล้ว"


ดาบสทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เสียใจยิ่งนักนางปาริกาดาบสินีนั้นแต่แรกโกรธแค้นที่พระราชายิงสุวรรณสามตายแต่ทุกูลดาบสได้ปลอบประโลมว่า
   "
จงนึกว่าเป็นเวรกรรมของสุวรรณสามและของเราทั้งสองเถิดจงสำรวมจิตอย่าโกรธเคืองเลยพระราชาก็ได้ยอมรับผิดแล้ว"


พระราชาตรัสปลอบว่า"ท่านทั้งสองอย่ากังวลไปเลยข้าพเจ้าได้สัญญากับสุวรรณสามแล้วว่าจะปรนนิบัติท่านทั้งสองให้เหมือนกับที่สุวรรณสามเคยทำมาทุกประการ"


ดาบสทั้งสองอ้อนวอนพระราชาให้พาไปที่สุวรรณสามนอนตายอยู่เพื่อจะได้สัมผัสลูบคลำลูกเป็นครั้งสุดท้ายพระราชาก็ทรงพาไป 


ครั้นถึงที่สุวรรณสามนอนอยู่ปาริกาดาบสินีก็ช้อนเท้าลูกขึ้นวางบนตักทุกูลดาบสก็ช้อนศีรษะสุวรรณสามประคองไว้บนตักต่างพากันรำพันถึงสุวรรณสามด้วยความโศกเศร้าบังเอิญปาริกาดาบสินีลูบคลำบริเวณหน้าอกสุวรรณสามรู้สึกว่ายังอบอุ่นอยู่จึงคิดว่าลูกอาจจะเพียงแต่สลบไปไม่ถึงตายนางจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า
   "
สุวรรณสามลูกเราเป็นผู้ที่ประพฤติดีตลอดมามีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่อย่างยิ่งเรารักสุวรรณสามยิ่งกว่าชีวิตของเราเองด้วยสัจจวาจาของเรานี้ขอให้พิษธนูจงคลายไปเถิดด้วยบุญกุศลที่สุวรรณสามได้เลี้ยงดูพ่อแม่ตลอดมาขออานุภาพแห่งบุญจงดลบันดาลให้สุวรรณสามฟื้นขึ้นมาเถิด"


เมื่อนางต้งสัตยาธิษฐานจบสุวรรณสามก็พลิกกายไปข้างหนึ่งแต่ยังนอนอยู่ทุกูลดาบสจึงตั้งสัตยาธิษฐานเช่นเดียวกันสุวรรณสามก็พลิกกายกลับไปอีกข้างหนึ่งฝ่ายนางเทพธิดาวสุนธรีผู้ดูแลรักษาอยู่บริเวณเขาคันธมาทน์ก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า 

   "เราทำหน้าที่รักษาเขาคันธมาทน์มาเป็นเวลานานเรารักสุวรรณสามผู้มีเมตตาจิตและมีความกตัญญูยิ่งกว่าใครด้วยสัจจวาจานี้ขอให้พิษจงจางหายไปเถิด"


ทันใดนั้นสุวรรณสามก็พลิกกายฟื้นตื่นขึ้นหายจากพิษธนูโดยสิ้นเชิงยิ่งกว่านั้นดวงตาของพ่อและแม่ของสุวรรณสามก็กลับแลเห็นเหมือนเดิมพระราชาทรงพิศวงยิ่งนักจึงตรัสถามว่าสุวรรณสามฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร

สุวรรณสามตอบพระราชาว่า
   "
บุคคลใดเลี้ยงดูปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักใคร่เอาใจใส่เทวดาและมนุษย์ย่อมช่วยคุ้มครองบุคคลนั้นนักปราชญ์ย่อมสรรเสริญแม้เมื่อตายไปแล้วบุคคลนั้นก็จะได้ไปบังเกิดในสวรรค์เสวยผลบุญแห่งความกตัญญูกตเวทีของตน"

 

พระราชากบิลยักขราชได้ยินดังนั้นก็ชื่นชมโสมนัสตรัสกับสุวรรณสามว่า
   "
ท่านทำให้จิตใจและดวงตาของข้าพเจ้าสว่างไสวข้าพเจ้ามองเห็นธรรมต่อนี้ไปข้าพเจ้าจะรักษาศีลจะบำเพ็ญกุศลกิจจะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อีกแล้ว"

 

ตรัสปฏิญญาณแล้วพระราชาก็ทรงขอขมาโทษที่ได้กระทำให้สุวรรณสามเดือดร้อนแล้วพระองค์ก็เสด็จกลับพาราณสีทรงปฏิบัติตามที่ได้ตรัสไว้ทุกประการจนตลอดพระชนม์ชีพ

 

ฝ่ายสุวรรณสามก็เลี้ยงดูปรนนิบัติพ่อแม่บำเพ็ญเพียรในทางธรรมเมื่อสิ้นชีพก็ได้ไปเกิดในพรหมโลกร่วมกับพ่อแม่ด้วยกุศลกรรมที่กระทำมาคือความเมตตากรุณาต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายและความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาอันเป็นกุศลกรรมสูงสุดที่บุตรพึงกระทำต่อบิดามารดา

 

 

คติธรรมบำเพ็ญเมตตาบารมีี

"ว่าด้วยเรื่องของความมีเมตตาจิตซึ่งจะทำให้ชีวิตสุขสงบได้โดยไร้ภยันอันตรายใดๆธรรมนั้นคือเกราะแก้วมิให้ถูกผู้ใดทำร้ายได้เป็นแน่แท้"

 


ที่มา : เพจ Dhammathai.org 

 

~~~~~~~~~

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..