เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

พระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน

0

 

     [๙๖ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน พวกเธอผู้ได้กรานกฐินแล้วจักได้อานิสงส์ประการ คือ

           เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา

           ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ

           ฉันคณะโภชน์ได้

           ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา

           จีวรอันเกิดขึ้นที่นั้นจักได้แก่พวกเธอ

       ดูกรภิกษุทั้งหลายอานิสงส์ประการนี้จักได้แก่เธอทั้งหลายผู้ได้กรานกฐินแล้ว.


 

วิธีกรานกฐิน

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงกรานกฐินอย่างนี้ คือ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

 

กรรมวาจาให้ผ้ากฐิน -

       "ท่านเจ้าข้าขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้าผ้ากฐินผืนนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์พึงให้ผ้ากฐินผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้เพื่อกรานกฐินนี้เป็นญัตติ

       ท่านเจ้าข้าขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้าผ้ากฐินผืนนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์สงฆ์ให้ผ้ากฐินผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้เพื่อกรานกฐินการให้ผ้ากฐินผืนนี้แก่ภิกษุชื่อนี้เพื่อกรานกฐินชอบแก่ท่านผู้ใดท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่งไม่ชอบแก่ท่านผู้ใดท่านผู้นั้นพึงพูด

       ผ้ากฐินผืนนี้สงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้เพื่อกรานกฐินชอบแก่สงฆ์เหตุนั้นจึงนิ่ง

ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้"


 

ข้อความบางตอน ในกฐินขันธกะ พระวินัยปิฎก มหาวรรค พระไตรปิฎก เล่มที่

https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=5&A=2648

 

--------------------------------


  • วิธีกราน -               

      อันภิกษุผู้กรานพึงถือเอาผ้ากฐินที่ทำเสร็จสรรพแล้วกรานกฐินตามวิธีท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์บริวารมีคำเป็นต้นว่าถ้าประสงค์จะกรานกฐินด้วยสังฆาฏิพึงถอนสังฆาฏิเก่าอธิษฐานสังฆาฏิใหม่พึงลั่นวาจาว่าข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยสังฆาฏินี้ก็แลครั้นกรานแล้วพึงให้ภิกษุทั้งหลายอนุโมทนาตามวิธีที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์บริวารมีคำเป็นอาทิอย่างนี้แลว่าภิกษุผู้กรานกฐินนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่งประณมมือกล่าวอย่างนี้ว่าอตฺถตํภนฺเตสงฺฆสฺสกฐินํธมฺมิโกกฐินตฺถาโรอนุโมทถท่านเจ้าข้ากฐินของสงฆ์กรานแล้วการกรานกฐินเป็นธรรมขอท่านทั้งหลายอนุโมทนาเถิดภิกษุผู้อนุโมทนาเหล่านี้พึงทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่งประณมมือกล่าวอย่างนี้ว่าผู้มีอายุกฐินของสงฆ์กรานแล้วการกรานกฐินเป็นธรรมเราอนุโมทนาฝ่ายพวกภิกษุนอกนี้พึงอนุโมทนากฐินเป็นภิกษุทุกๆรูปกรานแล้วด้วยประการอย่างนี้.

      แท้จริงในคัมภีร์บริวารท่านกล่าวว่ากฐินเป็นอันบุคคลสองฝ่ายคือผู้กรานหนึ่งผู้อนุโมทนาหนึ่งกรานแล้วทั้งได้กล่าวไว้อีกว่าสงฆ์หาได้กรานกฐินไม่คณะหาได้กรานกฐินไม่บุคคลกรานกฐินแต่พระสงฆ์อนุโมทนาเพราะคณะอนุโมทนาเพราะบุคคลกรานกฐินได้ชื่อว่าสงฆ์ได้กรานคณะได้กรานบุคคลได้กราน.

      ก็เมื่อกฐินกรานแล้วอย่างนั้นถ้าแลพวกทายกถวายอานิสงส์ที่นำมาพร้อมกับกฐินจีวรว่าภิกษุรูปใดได้รับผ้ากฐินของพวกข้าพเจ้าพวกข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุรูปนั้นดังนี้ภิกษุสงฆ์ไม่เป็นใหญ่ถ้าเขาไม่ทันได้สั่งเสียไว้ถวายแล้วก็ไปภิกษุสงฆ์เป็นใหญ่เพราะเหตุนั้นถ้าแม้จีวรที่เหลือทั้งหลายของภิกษุผู้กรานเป็นของชำรุดสงฆ์พึงอปโลกน์ให้ผ้าเพื่อประโยชน์แก่จีวรแม้เหล่านั้นส่วนกรรมวาจาคงใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้นผ้าอานิสงส์กฐินที่ยังเหลือพึงแจกกันโดยลำดับแห่งผ้าจำนำพรรษาเพราะไม่มีลำดับพึงแจกตั้งแต่เถรอาสน์ลงมาคุรุภัณฑ์ไม่ควรแจกแต่ถ้าในสีมาเดียวมีหลายวิหารต้องให้ภิกษุทั้งปวงประชุมกรานกฐินในที่เดียวกันจะกรานกันเป็นแผนกๆไม่ควร.

...................

 

ข้อความบางตอน ในอรรถกถากฐินขันธกะ https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=5&i=95



หมายเหตุในอรรถกถากฐินขันธกะ 

      คำว่า ถวายอานิสงส์” ในข้อความว่า พวกทายกถวายอานิสงส์ที่นำมาพร้อมกับกฐินจีวร” และคำว่า จีวรที่เหลือ” ในข้อความว่าถ้าแม้จีวรที่เหลือทั้งหลายของภิกษุผู้กรานเป็นของชำรุดสงฆ์พึงอปโลกน์ให้ผ้าเพื่อประโยชน์แก่จีวรแม้เหล่านั้น” หมายถึง ผ้าบริวารกฐิน

 

คำว่า ผ้าอานิสงส์กฐินที่ยังเหลือ” ในข้อความว่า  ผ้าอานิสงส์กฐินที่ยังเหลือพึงแจกกันโดยลำดับแห่งผ้าจำนำพรรษา” และคำว่า ครุภัณฑ์ไม่ควรแจก” คำเหล่านี้ บอกให้รู้ว่าสิ่งของอื่นนอกจากผ้ากฐิน ยังมีผ้าอื่นๆ ครุภัณฑ์ เป็นต้นรวมเรียกว่า อานิสงส์กฐินบ้าง คนไทยนิยมเรียกว่า บริวาร เพราะเป็นของร่วมกับผ้ากฐิน


...............

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..