เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

เวสสันดร : มหานิบาตชาดก ตอนที่ ๑๐ (สุดท่าย)

0


เพื่อบำเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่ [เวสสันดรชาดก(เว)]

เรื่องโดยย่อ..

พระเจ้าสญชัยทรงครองราชสมบัติเมืองสีพีมีพระมเหสีทรงพระนามว่าพระนางผุสดีธิดาพระเจ้ากรุงมัททราชพระนางผุสดีนี้ในชาติก่อนๆได้เคยถวายแก่นจันทน์หอมเป็นพุทธบูชาและอธิษฐานขอให้ได้เป็นพุทธมารดาพระพุทธเจ้าในกาลอนาคต 


ครั้นเมื่อนางสิ้นชีวิตก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลกเมื่อถึงวาระที่จะต้องจุติมาเกิดในโลกมนุษย์พระอินทร์ได้ประทานพรสิบประการแก่นาง 


ครั้นเมื่อพระนางผุสดีทรงครรภ์ใกล้กำหนดประสูติพระนางปรารถนาไปเที่ยวชมตลาดร้านค้าบังเอิญในขณะเสด็จประพาสนั้นพระนางทรงเจ็บครรภ์และประสูติพระโอรสในบริเวณย่านนั้นพระโอรสจึงทรงพระนามว่าเวสสันดรหมายถึงในท่ามกลางระหว่างย่านค้าขายพร้อมกับที่พระโอรสประสูติช้างต้นของพระเจ้าสญชัยก็ตกลูกเป็นช้างเผือกเพศผู้ได้รับชื่อว่าปัจจัยนาคเป็นช้างต้นคู่บุญพระเวสสันดร


เมื่อพระกุมารเวสสันดรทรงเจริญวัยขึ้นทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบริจาคทานมักขอพระราชทานทรัพย์จากพระบิดามารดาเพื่อบริจาคแก่ประชาชนอยู่เป็นนิตย์ทรงขอให้พระบิดาตั้งโรงทานสี่มุมเมืองเพื่อบริจาคข้าวปลาอาหารและสิ่งของจำเป็นแก่ประชาชนและหากมีผู้มาทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดพระองค์ก็จะทรงบริจาคให้โดยมิได้เสียดายด้วยทรงเห็นว่าการบริจาคนั้นเป็นกุศลเป็นคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้ผู้รับก็จะพ้นความเดือดร้อนผู้ให้ก็จะอิ่มเอิบเป็นสุขใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นและยังทำให้พ้นจากความโลภความตระหนี่ถี่เหนียวในทรัพย์สมบัติของตนอีกด้วยพระเกียรติคุณของพระเวสสันดรเลื่องลือไปทั่วทุกทิศว่าทรงมีจิตเมตตาแก่ผู้อื่นมิได้ทรงเห็นแก่ความสุขสบายหรือเห็นแก่ทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์มิได้ทรงหวงแหนสิ่งใดไว้สำหรับพระองค์


อยู่มาครั้งหนึ่งในเมืองกลิงคราษฏร์เกิดข้าวยากหมายแพงเพราะฝนแล้งทำให้เพาะปลูกไม่ได้ราษฎร์อดอยากได้รับความเดือนร้อนสาหัสประชาชนชาวกลิงคราษฏร์พากันไปเฝ้าพระราชาทูลว่าในเมืองสีพีนั้นมีช้างเผือกคู่บุญพระเวสสันดรชื่อว่าช้างปัจจัยนาคเป็นช้างมีอำนาจพิเศษถ้าอยู่เมืองใดจะทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลพืชพันธุ์จะบริบูรณ์ขอให้พระเจ้ากลิงคราษฏร์ส่งทูตเพื่อไปทูลขอช้างจากพระเวสสันดรพระเวสสันดรก็จะทรงบริจาคให้เพราะพระองค์ไม่เคยขัดเมื่อมีผู้ทูลขอสิ่งใด


พระเจ้ากลิงคราษฏร์จึงส่งพราหมณ์แปดคนไปเมืองสีพีครั้นเมื่อพราหมณ์ได้พบพระเวสสันดรขณะเสด็จประพาสพระนครประทับบนหลังช้างปัจจัยนาคพราหมณ์จึงทูลขอช้างคู่บุญเพื่อดับทุกข์ชาวกลิงคราษฏร์พระเวสสันดรก็โปรดประทานให้ตามที่ขอ 


ชาวสีพีเห็นพระเวสสันดรทรงบริจาคช้างปัจจัยนาคคู่บ้านคู่เมืองไปดังนั้นก็ไม่พอใจพากันโกรธเคืองว่าต่อไปบ้านเมืองจะลำบากเมื่อไม่มีช้างปัจจัยนาคเสียแล้วจึงพากันไปเข้าเฝ้าพระเจ้าสญชัยทูลกล่าวโทษพระเวสสันดรว่าบริจาคช้างคู่บ้านคู่เมืองแก่ชาวเมืองอื่นไปขอให้ขับพระเวสสันดรไปเสียจากเมืองสีพีพระเจ้าสญชัยไม่อาจขัดราษฏรได้จึงจำพระทัยมีพระราชโองการให้ขับพระเวสสันดรออกจากเมืองไป 


พระเวสสันดรไม่ทรงขัดข้องแต่ทูลขอพระราชทานโอกาสบริจาคทานครั้งใหญ่ก่อนเสด็จออกจากพระนครพระบิดาก็ทรงอนุญาตให้พระเวสสันดรทรงบริจาคสัตสดกมหาทานคือบริจาคทานเจ็ดสิ่งสิ่งละเจ็ดร้อยแก่ประชาชนชาวสีพี


เมื่อพระนางมัทรีพระมเหสีของพระเวสสันดรทรงทราบว่าประชาชนขอให้ขับพระเวสสันดรออกจากเมืองก็กราบทูลพระเวสสันดรว่า

   "พระองค์เป็นพระราชสวามีของหม่อมฉันพระองค์เสด็จไปที่ใดหม่อมฉันจะขอติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่งมิได้ย่อท้อต่อความลำบากขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยาแล้วย่อมต้องอยู่เคียงข้างกันในทุกที่ทุกเวลาไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์โปรดประทานอนุญาติให้หม่อมฉันติดตามไปด้วยเถิด


พระเวสสันดรไม่ทรงประสงค์ให้พระนางมัทรีติดตามพระองค์ไปเพราะการเดินทางไปจากพระนครย่อมมีแต่ความยากลำบากทั้งพระองค์เองก็ทรงปรารถนาจะเสด็จไปประทับบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ในป่าพระนางมัทรีไม่คุ้นเคยต่อสภาพเช่นนั้นย่อมจะต้องลำบากยากเข็ญทั้งอาหารการกินและความเป็นอยู่แต่ไม่ว่าพระเวสสันดรจะตรัสห้ามปรามอย่างไรนางก็มิยอมฟังบรรดาพระประยูรญาติก็พากันอ้อนวอนขอร้องพระนางก็ทรงยืนกรานว่าจะติดตามพระราชสวามีไปด้วย


พระนางผุสดีจึงทรงไปทูลขอพระเจ้าสญชัยมิให้ขับพระเวสสันดรออกจากเมืองพระเจ้าสญชัยตรัสว่า 

   "บ้านเมืองจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อราษฏรเป็นสุขพระราชาจะเป็นสุขได้ก็เมื่อราษฏรเป็นสุขถ้าราษฏรมีความทุกข์พระราชาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไรราษฏรพากันกล่าวโทษพระเวสสันดรว่าจะทำให้บ้านเมืองยากเข็ญเราจึงจำเป็นต้องลงโทษแม้ว่าพระเวสสันดรจะเป็นลูกของเราก็ตาม"


ไม่ว่าผู้ใดจะห้ามปรามอย่างไรพระนางมัทรีก็จะตามเสด็จพระเวสสันดรไปให้จงได้พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดีจึงขอเอาพระชาลีพระกัณหาโอรสธิดาของพระเวสสันดรไว้แต่พระนางมัทรีก็ไม่ยินยอมทรงกล่าวว่า 

   "เมื่อชาวเมืองสีพีรังเกียจพระเวสสันดรให้ขับไล่ไปเสียดังนี้พระโอรสธิดาจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรชาวเมืองโกรธแค้นขึ้นมาพระชาลีกัณหาก็จะทรงได้รับความลำบากจึงควรที่จะออกจากเมืองไปเสียพร้อมพระบิดาพระมารดา"


ในที่สุดพระเวสสันดรพร้อมด้วยพระมเหสีและโอรสธิดาก็ออกจากเมืองสีพีไปแม้ในขณะนั้นชาวเมืองยังตามมาทูลขอรถพระที่นั่งทั้งสี่พระองค์จึงต้องทรงดำเนินด้วยพระบาทออกจากเมืองสีพีมุ่งไปสู่ป่าเพื่อบำเพ็ญพรตภาวนา


ครั้นเสด็จมาถึงเมืองมาตุลนครบรรดากษัตริย์เจตราชทรงทราบข่าวจึงพากันมาต้อนรับพระเวสสันดรทรงถามถึงทางไปสู่เขาวงกตกษัตริย์เจตราชก็ทรงบอกทางให้และเล่าว่าเขาวงกตนั้นต้องเดินทางผ่านป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยอันตรายแต่เมื่อไปถึงสระโบกขรณีแล้วก็จะเป็นบริเวณร่มรื่นสะดวกสบายมีต้นไม้ผลที่จะใช้เป็นอาหารได้ 


นอกจากนี้กษัตริย์เจตราชยังได้สั่งให้พรานป่าเจตบุตรซึ่งเป็นผู้ชำนาญป่าแถบนั้นให้คอยเฝ้าระแวดระวังรักษาต้นทางที่จะไปสู่เขาวงกตเพื่อมิให้ผู้ใดไปรบกวนพระเวสสันตรในการบำเพ็ญพรตเว้นแต่ทูตจากเมืองสีพีที่จะมาทูลเชิญเสด็จกลับนครเท่านั้นที่จะยอมให้ผ่านเข้าไปได้


เมื่อเสด็จไปถึงบริเวณสระโบกขรณีอันเป็นที่ร่มรื่นสบายพระเวสสันดรพระนางมัทรีตลอดจนพระโอรสธิดาก็ผนวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตภาวนาอยู่ที่นั้นโดยมีพรานป่าเจตบุตรคอยรักษาต้นทาง 


ตำบลบ้านทุนนวิฐเขตเมืองกลิงคราษฏร์มีพราหมณ์เฒ่าชื่อชูชกหาเลี้ยงชีพด้วยการขอทานชูชกขอทานจนได้เงินมามากจะเก็บไว้เองก็กลัวสูญหายจึงเอาไปฝากเพื่อนพราหมณ์ไว้ 


อยู่มาวันหนึ่งชูชกไปหาพราหมณ์ที่ตนฝากเงินได้จะขอเงินกลับไปปรากฎว่าพราหมณ์นั้นนำเงินไปใช้หมดแล้วจะหามาใช้ให้ชูชกก็หาไม่ทันจึงจูงเอาลูกสาวชื่ออมิตตดามายกให้แก่ชูชกพราหมณ์กล่าวแก่ชูชกว่า 

   "ท่านจงรับเอาอมิตตดาลูกสาวเราไปเถิดจะเอาไปเลี้ยงเป็นลูกหรือภรรยาหรือจะเอาไปเป็นทาสรับใช้ปรนนิบัติก็สุดแล้วแต่ท่านจะเมตตา"


ชูชกเห็นนางอมิตตดาหน้าตาสะสวยงดงามก็หลงรักจึงพานางไปบ้านเลี้ยงดูนางในฐานะภรรยานางอมิตตดาอายุยังน้อยหน้าตางดงามและมีความกตัญญูต่อพ่อแม่นางจึงยอมเป็นภรรยาชูชกผู้แก่เฒ่ารูปร่างหน้าตาน่ารังเกียจ 


อมิตตดาปรนนิบัติชูชกอย่างภรรยาที่ดีจะพึงกระทำทุกประการนางตักน้ำตำข้าวหุงหาอาหารดูแลบ้านเรือนไม่มีขาดตกบกพร่องชูชกไม่เคยต้องบ่นว่าหรือตักเตือนสั่งสอนแต่อย่างใดทั้งสิ้น 


ความประพฤติที่ดีเพียบพร้อมของนางอมิตตดาทำให้เป็นที่สรรเสริญของบรรดาพราหมณ์ทั้งหลายในหมู่บ้านนั้นในไม่ช้าบรรดาพราหมณ์เหล่านั้นก็พากันตำหนิติเตียนภรรยาของตนที่มิได้ประพฤติตนเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างอมิตตดาบางบ้านก็ถึงกับทุบตีภรรยาเพื่อให้รู้จักเอาอย่างนางเหล่านางพราหมณีทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนก็พากันโกรธแค้นนางอมิตตดาว่าเป็นต้นเหตุ


วันหนึ่งขณะที่นางไปตักน้ำในหมู่บ้านบรรดานางพราหมณีก็รุมกันเย้ยหยันที่นางมีสามีแก่หน้าตาน่าเกลียดอย่างชูชกนางพราหมณีพากันกล่าวว่า 

   "นางก็อายุน้อยหน้าตางดงามทำไมมายอมอยู่กับเฒ่าชราน่ารังเกียจอย่างชูชกหรือว่ากลัวจะหาสามีไม่ได้มิหนำซ้ำยังทำตนเป็นกาลกิณีพอเข้ามาในหมู่บ้านก็ทำให้ชาวบ้านสิ้นความสงบสุขเขาเคยอยู่กันมาดีๆพอนางเข้ามาก็เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าหาความสงบไม่ได้นางอย่าอยู่ในหมู่บ้านนี้เลยจะไปไหนก็ไปเสียเถิด" 


ไม่เพียงกล่าววาจาด่าทอยังพากันหยิกทึ้ึ้งทำร้ายนางอมิตตดาจนนางทนไม่ได้ต้องหนีกลับบ้านร้องไห้มาเล่าให้ชูชกฟังชูชกจึงบอกว่าต่อไปนี้นางไม่ต้องทำการงานสิ่งใดชูชกจะเป็นฝ่ายทำให้ทุกอย่างนางอมิตตดาจึงว่า 

   "ภรรยาที่ดีจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรจะปล่อยให้สามีมาปรนนิบัติรับใช้เราทำไม่ได้หรอกลูกหญิงที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนมาดีย่อมจะไม่นั่งนอนอยู่เฉยๆดีแต่ชี้นิ้วให้ผู้อื่นปรนนิบัติตนนี่แน่ะชูชกถ้าท่านรักเราจริงท่านจงไปหาบริวารมาปรนนิบัติรับใช้เราดีกว่า" 


ชูชกได้ฟังดังนั้นก็อัดอั้นตันใจไม่รู้จะไปหาข้าทาสหญิงชายมาจากไหนนางอมิตตดาจึงแนะว่า 

   "ขณะนี้พระเวสสันดรเสด็จออกมาจากเมืองสีพีมาทรงบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าเขาวงกตพระองค์เป็นผู้ใฝ่ในการบริจาคทานท่านจงเดินทางไปขอบริจาคพระชาลีกัณหาโอรสธิดาของพระเวสสันดรมาเป็นข้าทาสของเราเถิด" 


ชูชกไม่อยากเดินทางไปเลยเพราะกลัวอันตรายในป่าแต่ครั้นจะไม่ไปก็กลัวนางอมิตตดาจะทอดทิ้งไม่ยอมอยู่กับตน


ในที่สุดชูชกจึงตัดสินใจเดินทางไปเขาวงกตเพื่อทูลขอพระชาลีกัณหาเมื่อไปถึงบริเวณปากทางเข้าสู่เขาวงกตชูชกก็ได้พบพรานเจตบุตรผู้รักษาปากทางหมาไล่เนื้อที่พรานเลี้ยงไว้พากันรุมไล่ต้อนชูชกขึ้นไปจนมุมอยู่บนต้นไม้เจตบุตรก็เข้าไปตะคอกขู่ 


ชูชกนั้นเป็นคนมีไหวพริบสังเกตดูเจตบุตรก็รู้ว่าเป็นคนซื่อสัตย์มีฝีมือเข้มแข็งแต่ขาดไหวพริบจึงคิดจะใช้วาาจาลวงเจตบุตรให้หลงเชื่อพาตนเข้าไปพบพระเวสสันดรให้ได้ชูชกจึงกล่าวแก่เจตบุตรว่า 

   "นี่แนะเจ้าพรานป่าหน้าโง่เจ้าหารู้ไม่ว่าเราเป็นใครผู้อื่นเขาจะเดินทางมาให้ยากลำบากทำไมจนถึงนี่เรามาในฐานะทูตของพระเจ้าสัญชัยเจ้าเมืองสีวีพจะมาทูลพระเวสสันดรว่าบัดนี้ชาวเมืองสีพีได้คิดแล้วจะมาทูลเชิญเสด็จกลับพระนครเราเป็นผู้มาทูลพระองค์ไว้ก่อนเจ้ามัวมาขัดขวางเราอยู่อย่างนี้เมื่อไรพระเวสสันดรจะได้เสด็จคืนเมือง" 


เจตบุตรได้ยินก็หลงเชื่อเพราะมีความจงรักภักดีอยากให้พระเวสสันดรเสด็จกลับเมืองอยู่แล้วจึงขอโทษชูชกจัดการหาอาหารมาเลี้ยงดูแล้วชี้ทางให้เข้าไปสู่อาศรมที่พระเวสสันดรบำเพ็ญพรตภาวนาอยู่ 


เมื่อชูชกมาถึงอาศรมก็คิดได้ว่าหากเข้าไปทูลขอพระโอรสธิดาในขณะพระนางมัทรีอยู่ด้วยพระนางคงจะไม่ยินยอมยกให้เพราะความรักอาลัยพระโอรสธิดาจึงควรจะรอจนพระนางเสด็จไปหาผลไม้ในป่าเสียก่อนจึงค่อยเข้าไปทูลขอต่อพระเวสสันดรเพียงลำพัง 


ในวันนั้นพระนางมัทรีทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่งเพราะในตอนกลางคืนพระนางทรงฝันร้ายว่ามีบุรุษร่างกายกำยำถือดาบมาตัดแขนซ้ายขวาของพระนางขาดออกจากกายบุรุษนั้นควักดวงเนตรซ้ายขวาแล้วยังผ่าเอาดวงพระทัยพระนางไปด้วยพระนางมัทรีทรงสังหรณ์ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นจึงทรงละล้าละลังไม่อยากไปไกลจากอาศรมแต่ครั้นจะไม่เสด็จไปก็จะไม่มีผลไม้มาให้พระเวสสันดรและโอรสธิดาเสวย 


พระนางจึงจูงโอรสธิดาไปทรงฝากฝังกับพระเวสสันดรขอให้ทรงดูแลตรัสเรียกหาให้เล่นอยู่ใกล้ๆบรรณศาลาพร้อมกับเล่าความฝันให้พระเวสสันดรทรงทราบ 


พระเวสสันดรทรงหยั่งรู้ว่าจะมีผู้มาทูลขอพระโอรสธิดาแต่ครั้นจะบอกความตามตรงพระนางมัทรีก็คงจะทนไม่ได้พระองค์เองนั้นตั้งพระทัยมั่นว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกประการในกายนอกกายแม้แต่ชีวิตและเลือดเนื้อของพระองค์หากมีผู้มาทูลขอก็จะทรงบริจาคให้โดยมิได้ทรงเสียดายหรือหวาดหวั่น 


พระเวสสันดรจึงตรัสกับพระนางมัทรีว่าจะดูแลพระโอรสธิดาให้พระนางมัทรีจึงเสด็จไปหาผลไม้ในป่าแต่ลำพัง 


ครั้นชูชกเห็นได้เวลาแล้วจึงมุ่งมาที่อาศรมได้พบพระชาลีพระกัณหาทรงเล่นอยู่หน้าอาศรมก็แกล้งขู่ให้สองพระองค์ตกพระทัยเพื่อข่มขวัญไว้ก่อนแล้วชูชกพราหมณ์เฒ่าก็เข้าไปเฝ้าพระเวสสันดรกล่าววาจากราบทูลด้วยโวหารอ้อมค้อมลดเลี้ยวชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อทูลขอพระโอรสธิดาไปเป็นข้าช่วงใช้ของตน 


พระเวสสันดรทรงมีพระทัยยินดีที่จะทรงกระทำบุตรทานคือการบริจาคบุตรเป็นทานอันหมายถึงว่าพระองค์เป็นผู้สละกิเลสความหวงแหนในทรัพย์สมบัติทั้งปวงแม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รักก็สามารถสละเป็นทานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้แต่พระองค์ทรงผัดผ่อนต่อชูชกว่าขอให้พระนางมัทรีกลับมาจากป่าได้ร่ำลาโอรสธิดาเสียก่อนชูชกก็ไม่ยินยอมกลับทูลว่า

"หากพระนางกลับมาสัญชาตญาณแห่งมารดาย่อมจะทำให้พระนางหวงแหนห่วงใยพระโอรสธิดาย่อมจะไม่ทรงให้พระโอรสธิดาพรากจากไปได้หากพระองค์ทรงปรารถนาจะบำเพ็ญทานจริงก็โปรดยกให้หม่อมฉันเสียแต่บัดนี้เถิด


พระเวสสันดรจนพระทัยจึงตรัสเรียกหาพระโอรสธิดาแต่พระชาลีกัณหาซึ่งแอบฟังความอยู่ใกล้ๆได้ทราบว่าพระบิดาจะยกตนให้แก่ชูชกก็ทรงหวาดกลัวจึงพากันไปหลบซ่อนโดยเดินถอยหลังลงสู่สระบัวเอาใบบัวบังเศียรไว้ชูชกเห็นสองกุมารหายไปจึงทูลประชดประชันพระเวสสันดรว่าไม่เต็มพระทัยบริจาคจริงทรงให้สัญญาณสองกุมารหนีไปซ่อนตัวเสียที่อื่นพระเวสสันดรจึงทรงต้องออกมาตามหาพระชาลีกัณหา


ครั้นทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าเดินขึ้นมาจากสระจึงตรัสเรียกพระโอรสธิดาว่า 

   "ชาลีกัณหาเจ้าจงขึ้นมาหาพ่อเถิดหากเจ้านิ่งเฉยอยู่พราหมณ์เฒ่าก็จะเยาะเย้ยว่าพ่อนี้ไร้วาจาสัตย์พ่อตั้งใจจะบำเพ็ญทานบารมีเพื่อสละละกิเลสให้บรรลุพระโพธิญาณจะได้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลายในภายภาคหน้าให้พ้นจากทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดเจ้าจงมาช่วยพ่อประกอบการบุญเพื่อบรรลุผลคือพระโพธิญาณนั้นเถิด


ทั้งสองกุมารทรงได้ยินพระบิดาตรัสเรียกก็ทรงรำลึกได้ถึงหน้าที่ของบุตรที่ดีที่ต้องเชื่อฟังบิดามารดารำลึกได้ถึงความพากเพียรของพระบิดาที่จะประกอบบารมีเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งยังรำลึกถึงขัตติยมานะว่าทรงเป็นโอรสธิดากษัตริย์ไม่สมควรจะหวาดกลัวต่อสิ่งใดจึงเสด็จขึ้นมาจากสระบัวพระบิดาก็จูงทั้งสองพระองค์มาทรงบริจาคเป็นทานแก่ชูชก 


ชูชกครั้นได้ตัวพระชาลีกัณหาเป็นสิทธิขาดแล้วก็แสดงอำนาจฉุดลากเอาสองกุมารเข้าป่าไปเพื่อจะให้เกิดความยำเกรงตนพระเวสสันดรทรงสงสารพระโอรสธิดาแต่ก็ไม่อาจทำประการใดได้เพราะทรงถือว่าได้บริจาคเป็นสิทธิแก่ชูชกไปแล้ว


ครั้นพระนางมัทรีทรงกลับมาจากป่าในเวลาพลบค่ำเที่ยวตามหาโอรสธิดาไม่พบก็มาเฝ้าทูลถามจากพระเวสสันดรพระเวสสันดรจะทรงตอบความจริงก็เกรงว่านางจะทนความเศร้าโศกมิได้จึงทรงแกล้งตำหนิว่านางไปป่าหาผลไม้กลับมาจนเย็นค่ำคงจะรื่นรมย์มากจนลืมนึกถึงโอรสธิดาและสวามีที่คอยอยู่ 


พระนางมัทรีได้ทรงฟังก็เสียพระทัยทูลตอบว่า 

   "เมื่อหม่อมฉันจะกลับอาศรมมีสัตว์ร้ายวนเวียนดักทางอยู่หม่อมฉันจะมาก็มามิได้จนเย็นค่ำสัตว์ร้ายเหล่านั้นจึงจากไปหม่อมฉันมีแต่ความสัตย์ซื่อมิได้เคยนึกถึงความสุขสบายส่วนตัวเลยแม้แต่น้อยนิดบัดนี้ลูกของหม่อมฉันหายไปจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็มิทราบหม่อมฉันจะเที่ยวติดตามหาจนกว่าจะพบลูก"


พระนางมัทรีทรงออกเที่ยวตามหาพระชาลีกัณหาตามรอบบริเวณศาลาเท่าไรๆก็มิได้พบจนในที่สุดพระนางก็สิ้นแรงถึงกับสลบไปพระเวสสันดรทรงเวทนาจึงทรงนำน้ำเย็นมาประพรมจนนางฟื้นขึ้นก็ตรัสเล่าว่าได้บริจาคโอรสธิดาแก่พราหมณ์เฒ่าไปแล้วขอให้พระนางอนุโมทนาในทานบารมีที่ทรงกระทำไปนั้นด้วยบุตรทานที่พระราชสวามีทรงบำเพ็ญและมีพระทัยค่อยบรรเทาจากความโศกเศร้า


ฝ่ายท้าวสักกะเทวราชทรงเล็งเห็นว่าหากมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรีไปพระเวสสันดรก็จะทรงลำบากไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้เต็มความปรารถนาเพราะต้องทรงแสวงหาอาหารประทังชีวิตท้าวสักกะจึงแปลงองค์เป็นพราหมณ์มาขอรับบริจาคพระนางมัทรี 


พระเวสสันดรก็ทรงปิติยินดีที่จะได้ประกอบทารทานคือการบริจาคภรรยาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่นพระนางมัทรีก็ทรงเต็มพระทัยที่จะได้ทรงมีส่วนในการบำเพ็ญทานบารมีตามที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระทัยไว้


เมื่อได้รับบริจาคแล้วท้าวสักกะก็ทรงกลับคืนร่างดังเดิมและตรัสสรรเสริญอนุโมทนาในกุศลแห่งทานบารมีของพระเวสสันดรแล้วถวายพระนางมัทรีกลับคืนแด่พระเวสสันดรพระเวสสันดรจึงได้ทรงประกอบบุตรทารทานอันยากที่ผู้ใดจะกระทำได้สมดังที่ได้ตั้งพระทัยว่าจะบริจาคทรัพย์ของพระองค์เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยปราศจากความหวงแหนเสียดาย


ฝ่ายชูชกพาสองกุมารเดินทางมาในป่าระหกระเหินได้รับความลำบากเป็นอันมากและหลงทางไปจนถึงเมืองสีพีบังเอิญผ่านไปหน้าที่ประทับพระเจ้าสญชัยทรงทอดพระเนตรเห็นพระนัดดาทั้งสองก็ทรงจำได้จึงให้เสนาไปพาเข้ามาเฝ้าชูชกทูลว่าพระเวสสันดรทรงบริจาคพระชาลีกัณหาให้เป็นข้าทาสของตนแล้วบรรดาเสนาอำมาตย์และประชาชนทั้งหลายต่างก็พากันสงสารพระกุมารทั้งสองและตำหนิพระเวสสันดรที่มิได้ทรงห่วงใยพระโอรสธิดา


พระชาลีเห็นผู้อื่นพากันตำหนิติเตียนพระบิดาจึงทรงกล่าวว่า 

   "เมื่อพระบิดาเสด็จไปผนวชอยู่ในป่ามิได้ทรงมีสมบัติใดติดพระองค์ไปแต่ทรงมีพระทัยแน่วแน่ที่จะสละกิเลสไม่หลงใหลหวงแหนในสมบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดแม้บุคคลอันเป็นที่รักก็ย่อมสละได้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเพราะทรงมีพระทัยมั่นในพระโพธิญาณในภายหน้าความรักความหลงความโลภความโกรธเป็นกิเลสที่ขวางกั้นหนทางไปสู่พระโพธิญาณพระบิดาของหม่อมฉันสละกิเลสได้ดังนี้จะมาตำหนิติเตียนพระองค์หาควรไม่"


พระเจ้าสญชัยได้ทรงฟังดังนั้นก็ยินดีจึงตรัสเรียกพระชาลีให้เข้าไปหาแต่พระชาลียังคงประทับอยู่กับชูชกและทูลว่าพระองค์ยังเป็นทาสของชูชกอยู่พระเจ้าสญชัยจึงขอไถ่สองกุมารจากชูชก 


พระชาลีตรัสว่าพระบิดาตีค่าพระองค์ไว้พันตำลึงทองแต่พระกัณหานั้นเป็นหญิงพระบิดาจึงตีค่าตัวไว้สูงเพื่อมิให้ผู้ใดมาไถ่ตัวหรือซื้อขายไปได้ง่ายๆพระกัณหานั้นมีค่าตัวเท่ากับทรัพย์เจ็ดชีวิตเจ็ดสิ่งเช่นข้าทาสหญิงชายเป็นต้นสิ่งละเจ็ดร้อยกับทองคำอีกร้อยตำลึง 


พระเจ้าสญชัยก็โปรดให้เบิกสมบัติท้องพระคลังมาไถ่ตัวพระนัดดาจากชูชกและโปรดให้จัดข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูชูชกเพื่อตอบแทนที่พาพระนัดดากลับมาถึงเมือง


ชูชกพราหมณ์เฒ่าขอทานไม่เคยได้บริโภคอาหารดีๆก็ไม่รู้จักยับยั้งบริโภคมาจนทนไม่ไหวถึงแก่ความตายในที่สุด 


พระเจ้าสญชัยโปรดให้จัดการศพแล้วประกาศหาผู้รับมรดกก็หามีผู้ใดมาขอรับไม่หลังจากนั้นพระเจ้าสญชัยจึงตรัสสั่งให้จัดกระบวนเสด็จเพื่อไปรับพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับคืนสู่เมืองสีพีเพราะบรรดาประชาชนก็พากันได้คิดว่าพระเวสสันดรได้ทรงประกอบทานบารมีอันยิ่งใหญ่กว่าทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อประโยชน์แห่งผู้คนทั้งหลายหาใช่เพื่อพระองค์เองไม่ 


เมื่อกระบวนไปถึงอาศรมริมสระโบกขรณีกษัตริย์ทั้งหกก็ทรงได้พบกันด้วยความโสมนัสยินดี


พระเจ้าสญชัยจึงตรัสบอกพระเวสสันดรว่าประชาชนชาวสีพีได้เห็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้วและพากันร่ำร้องได้ทูลเชิญเสด็จกลับเมืองสีพีพระเวสสันดรพระนางมัทรีและพระชาลีกัณหาจึงได้เสด็จกลับเมืองพระเจ้าสญชัยทรงอภิเษกพระเวสสันดรขึ้นครองเมืองสืบต่อไป


ครั้นได้เป็นพระราชาแห่งสีพีพระเวสสันดรก็ทรงยึดมั่นในการประกอบทานบารมีทรงตั้งโรงทานบริจาคเป็นประจำทุกวันชาวเมืองสีพีตลอดจนบ้านเมืองใกล้เคียงก็ได้รับพระเมตตากรุณามีความร่มเย็นเป็นสุขชาวเมืองต่างก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันมิได้โลภกระหายในทรัพย์สมบัติต่างก็มีจิตใจผ่องใสเป็นสุขเหมือนดังที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระปณิธานว่าพระองค์จะทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งปวงเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นด้วยทรัพย์ทั้งหลายทำให้เกิดกิเลสคือความโลภความหลงหวงแหนเมื่อบริจาคทรัพย์แล้วผู้รับก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นและมีความชื่นชมยินดีผู้ให้ก็จะอิ่มเอมใจว่าได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเกิดความปิติยินดีเช่นกันทั้งผู้ให้และผู้รับย่อมได้รับความสุขความพึงพอใจดังนี้

 

 

คติธรรมบำเพ็ญทานบารมี

"สั่งสอนให้คนเราเพียรประกอบคุณความดีโดยมิท้อถอยหากรู้จักสละทรัพย์บริจาคทานเนื่องนิจก็จะเป็นที่สรรเสริญทั่วไป"



ที่มา : เพจ Dhammathai.org 

 

------------------------

 

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..