เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี [ ภูริทัตชาดก(ภู)]
เรื่องโดยย่อ..
พระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า"พรหมทัต" ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสีพระโอรสทรงดำรงตำแหน่งอุปราชอยู่ต่อมาพระราชาทรงระแวงว่าพระโอรสจะคิดขบถแย่งราชสมบัติจึงมีโองการให้พระโอรสออกไปอยู่ให้ไกลเสียจากเมืองจนกว่าพระราชาจะสิ้นพระชนม์จึงให้กลับมารับราชสมบัติ
พระโอรสก็ปฏิบัติตามบัญชาเสด็จไปบวชอยู่ที่บริเวณแม่น้ำชื่อว่า"ยุมนา" มีนางนาคตนหนึ่งสามีตายต้องอยู่แต่เพียงลำพังเกิดความว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้จึงขึ้นมาจากน้ำท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งมาจนถึงศาลาที่พักของพระราชบุตรนางนาคประสงค์จะลองใจดูว่านักบวชผู้พำนักอยู่ในศาลานี้จะเป็นผู้ที่บวชด้วยใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงหรือไม่จึงจัดประดับประดาที่นอนในศาลานั้นด้วยดอกไม้หอมและของทิพย์จากเมืองนาค
ครั้นพระราชบุตรกลับมาเห็นที่นอนจัดงดงามน่าสบายก็ยินดีประทับนอนด้วยความสุขสบายตลอดคืนรุ่งเช้าก็ออกจากศาลาไปนางนาคก็แอบดูพบว่าที่นอนมีรอยคนนอนจึงรู้ว่านักบวชผู้นี้มิได้บวชด้วยความศรัธราเต็มเปี่ยมยังคงยินดีในของสวยงามตามวิสัยคนมีกิเลสจึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก
ในวันที่สามพระราชบุตรมีความสงสัยว่าใครเป็นผู้จัดที่นอนอันสวยงามไว้จึงไม่เสด็จออกไปป่าแต่แอบดูอยู่บริเวณศาลานั่นเองเมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอนพระราชบุตรจึงไต่ถามนางว่านางเป็นใครมาจากไหนนางนาคตอบว่านางเป็นนาคชื่อมาณวิกานางว้าเหว่าที่สามีตายจึงออกมาท่องเที่ยวไป
พระราชบุตรมีความยินดีจึงบอกแก่นางว่าหากนางพึงพอใจจะอยู่ที่นี่พระราชบุตรก็จะอยู่ด้วยกับนางนางนาคมาณวิกาก็ยินดีทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยาจนนางนาคประสูติโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า"สาครพรหมทัต" ต่อมาก็ประสูติพระธิดาชื่อว่า"สมุทรชา"
ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคตบรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายไม่มีผู้ใดทราบว่าพระราชบุตรประทับอยู่ณที่ใดบังเอิญพรานป่าผู้หนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่าตนได้เคยเที่ยวไปแถบแม่น้ำยมุนาและได้พบพระราชบุตรประทับอยู่บริเวณนั้น
อำมาตย์จึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมืองพระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่าจะไปอยู่เมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่นางนาคทูลว่า
"วิสัยนาคนั้นโกรธง่ายและมีฤทธิ์ร้ายหากหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในวังแล้วมีผู้ใดทำให้โกรธเพียงหม่อมฉันถลึงตามองผู้นั้นก็จะมอดไหม้ไปพระองค์พาโอรสธิดากลับไปเถิดส่วนหม่อมฉันขอทูลลากลับไปอยู่เมืองนาคตามเดิม"
พระราชบุตรจึงพาโอรสธิดากลับไปพาราณสีอภิเษกเป็นพระราชาอยู่มาวันหนึ่งขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระเกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่งพระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไปทิ้งที่วังน้ำวนในแม่น้ำยมุนาเต่าจมลงไปถึงเมืองนาคเมื่อถูกพวกนาคจับไว้เต่าก็ออกอุบายบอกแก่นาคว่า
"เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสีพระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐพระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายาของท้าวธตรฐเมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นไมตรีกัน"
ท้าวธตรฐทรงทราบก็ยินดีสั่งให้นาค4 ตนเป็นทูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัวพระธิดามาเมืองนาคพระราชาทรงแปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคว่า
"มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธุ์กันจะแต่งงานกันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้"
เหล่านาคได้ฟังดังนั้นจึงกลับไปกราบทูลท้าวธตรฐว่าพระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธุ์งูไม่คู่ควรกับพระธิดาท้าวธตรฐทรงพิโรธตรัสสั่งให้ฝูงนาคขึ้นไปเมืองมนุษย์ไปเที่ยวแผ่พังพานแสดงอิทธิฤทธิ์อำนาจตามที่ต่างๆแต่มิให้ทำอันตรายชาวเมืองชาวเมืองพากันเกรงกลัวนาคจนไม่เป็นอันทำมาหากิน
ในที่สุดพระราชาก็จำพระทัยส่งนางสมุทรชาให้ไปเป็นชายาท้าวธตรฐนางสมุทรชาไปอยู่เมืองนาคโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองนาคเพราะท้าวธตรฐให้เหล่าบริวารแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมดนางอยู่นาคพิภพด้วยความสุขสบายจนมีโอรส4 องค์ชื่อว่าสุทัศนะทัตตะสุโภคะและอริฏฐะ
อยู่มาวันหนึ่งอริฏฐะได้ฟังนาคเพื่อนเล่นบอกว่าพระมารดาของตนไม่ใช่นาคจึงทดลองดูโดยเนรมิตกายกลับเป็นงูขณะที่กำลังกินนมแม่อยู่นางสมุทรชาเห็นลูกกลายเป็นงูก็ตกพระทัยปัดอริฏฐะตกจากตักเล็บของนางไปข่วนเอานัยน์ตาอรฏฐะบอดไปข้างหนึ่งตั้งแต่นั้นมานางจึงรู้ว่าได้ลงมาอยู่เมืองนาค
ครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง4 เติบโตขึ้นท้าวธตรฐก็ทรงแบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขตทัตตะผู้เป็นโอรสองค์ที่สองนั้นมาเฝ้าพระบิามารดาอยู่เป็นประจำทัตตะเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดได้ช่วยพระบิดาแก้ไขปัญหาต่างๆอยู่เป็นนิตย์แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทวดาทัตตะก็แก้ไขได้จึงได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้ปรีชาสามารถได้รับขนานนามว่าภูริทัตต์คือทัตตะผู้เรืองปัญญา
ภูริทัตต์ได้เคยไปเห็นเทวโลกว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์จึงตั้งใจว่าจะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลกจึงทูลขออนุญาตพระบิดาก็ได้รับอนุญาตแต่ท้าวธตรฐสั่งว่ามิให้ออกไปรักษาอุโบสถนอกเขตเมืองนาคเพราะอาจเป็นอันตราย
ครั้นเมื่อรักษาศีลอยู่ในเมืองนาคภูริทัตต์รำคาญว่าพวกฝูงนาคบริวารได้ห้อมล้อมปรนนิบัติเฉพาะในตอนเช้าเท่านั้นตั้งแต่นั้นมาภูริทัตต์ก็ขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวกใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนาภูริทัตต์ตั้งจิตอธิษฐานว่าแม้ผู้ใดจะต้องการหนังเอ็นกระดูกเลือดเนื้อของตนก็จะยอมบริจาคให้ขอเพียงให้ได้รักษาศีลให้บริสุทธิ์
ครั้งนั้นมีนายพรานชื่อเนสาทออกเที่ยวล่าสัตว์เผอิญได้พบภูริทัตต์เข้าสอบถามรู้ว่าเป็นโอรสของราชาแห่งนาคภูริทัตต์เห็นว่าเนสาทเป็นพรานมีใจบาปหยาบช้าอาจเป็นอันตรายแก่ตนจึงบอกแก่พรานเนสาทว่า
"เราจะพาท่านกับลูกชายไปอยู่เมืองนาคของเราท่านทั้งสองจะมีความสุขสบายในเมืองนาคนั้น"
พรานเนสาทลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นานเกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารภกับภูริทัตต์ว่า
"ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องแล้วจะออกบวชรักษาศีลอย่างท่านบ้าง"
ภูริทัตต์รู้ด้วยปัญญาว่าพรานจะเป็นอันตรายแก่ตนแต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดีจึงต้องพาพรานกลับไปเมืองมนุษย์พรานพ่อลูกก็ออกล่าสัตว์ต่อไปตามเดิม
มีพญาครุฑตนหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วทางมหาสมุทรด้านใต้วันหนึ่งขณะออกไปจับนาคมากินนาคเอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ท้ายศาลาพระฤาษีจนต้นไทรถอนรากติดมาด้วยครั้นครุฑฉีกท้องนาคกินมันเหลวแล้วทิ้งร่างนาคลงไปจึงเห็นว่ามีต้นไทรติดมาด้วยครุฑรู้สึกว่าได้ทำผิดคือถอนเอาต้นไทรที่พระฤาษีเคยอาศัยร่มเงาจึงแปลงกายเป็นหนุ่มน้อยไปถามพระฤาษีว่าเมื่อต้นไทรถูกถอนเช่นนี้กรรมจะตกอยู่กับใครพระฤาษีตอบว่า
"ทั้งครุฑและนาคต่างก็ไม่มีเจตนาจะถอนต้นไทรนั้นกรรมจึงไม่มีแก่ผู้ใดทั้งสิ้น"
ครุฑดีใจจึงบอกกับพระฤาษีว่าตนคือครุฑเมื่อพระฤาษีช่วยแก้ปัญหาให้ตนสบายใจขึ้นก็จะสอนมนต์ชื่ออาลัมพายน์อันเป็นมนต์สำหรับครุฑใช้จับนาคให้แก่พระฤาษี
อยู่มาวันหนึ่งมีพราหมณ์ซึ่งเป็นหนี้ชาวเมืองมากมายจนคิดฆ่าตัวตายจึงเข้าไปในป่าเผอิญได้พบพระฤาษีจึงเปลี่ยนใจอยู่ปรนนิบัติพระฤาษีจนพระฤาษีพอใจสอนมนต์อาลัมพายน์ให้แก่พราหมณ์นั้น
พราหมณ์เห็นทางจะเลี้ยงตนได้จึงลาพระฤาษีไปเดินสาธยายมนต์ไปด้วยนาคที่ขึ้นมาเล่นน้ำได้ยินมนต์ก็ตกใจนึกว่าครุฑมาก็พากันหนีลงน้ำไปหมดลืมดวงแก้วสารพักนึกเอาไว้บนฝั่งพราหมณ์หยิบดวงแก้วนั้นไป
ฝ่ายพรานเนสาทก็เที่ยวล่าสัตว์อยู่เห็นพราหมณ์เดินถือดวงแก้วมาจำได้ว่าเหมือนดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดูจึงออกปากขอและบอกแก่พราหมณ์ว่าหากพราหมณ์ต้องการอะไรก็จะหามาแลกเปลี่ยนพราหมณ์บอกว่าต้องการรู้ที่อยู่ของนาคเพราะตนมีมนต์จับนาคพรานเนสาทจึงพาไปบริเวณที่รู้ว่าภูริทัตต์เคยรักษาศีลอยู่เพราะความโลภอยากได้ดวงแก้ว โสมทัตผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาไม่ซื่อสัตย์คิดทำร้ายมิตรคือภูริทัตต์จึงหลบหนีไประหว่างทาง
เมื่อไปถึงที่ภูริทัตต์รักษาศีลอยู่ภูริทัตต์ลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่าพราหมณ์คิดทำร้ายตนแต่หากจะตอบโต้ถ้าพราหมณ์เป็นอันตรายไปศีลของตนก็จะขาดภูริทัตต์ปรารถนาจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์จึงหลับตาเสียขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวพราหมณ์ก็ร่ายมนต์อาลัมพายน์เข้าไปจับภูริทัตต์ไว้กดศีรษะอ้าปากออกเขย่าให้สำรอกอาหารออกมาและทำร้ายจนภูริทัตต์เจ็บปวดแทบสิ้นชีวิตแต่ก็มิได้โต้ตอบ
พราหมณ์จับภูริทัตต์ใส่ย่ามตาข่ายแล้วนำไปออกแสดงให้ประชาชนดูเพื่อหาเงินพราหมณ์บังคับให้ภูริทัตต์แสดงฤทธิ์ต่างๆให้เนรมิตตัวให้ใหญ่บ้างเล็กบ้างให้ขดให้คลายแผ่พังพานให้ทำสีกายเป็นสีต่างๆพ่นไฟพ่นควันพ่นน้ำภูริทัตต์ก็ยอมทุกอย่างชาวบ้านที่มาดูเวทนาสงสารจึงให้ข้าวของเงินทองพราหมณ์ก็ยิ่งโลภพาภูริทัตต์ไปเที่ยวแสดงจนมาถึงเมืองพาราณสีจึงกราบทูลพระราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์ถวายให้ทอดพระเนตร
ขณะนั้นสมุทรชาผิดสังเกตที่ภูริทัตต์หายไปไม่มาเฝ้าจึงถามหาในที่สุดก็ทราบว่าภูริทัตต์หายไปพี่น้องของภูริทัตต์จึงทูลว่าจะออกติดตามสุทัศนะจะไปโลกมนุษย์สุโภคะไปป่าหิมพานต์อริฏฐะไปเทวโลกส่วนนางอัจจิมุขผู้เป็นน้องสาวต่างแม่ของภูริทัตต์ของตามไปกับสุทัศนะพี่ชายใหญ่ด้วย
เมื่อติดตามมาถึงเมืองพาราณสีสุทัศนะก็ได้ข่าวว่ามีนาคถูกจับมาแสดงให้คนดูจึงตามไปจนถึงบริเวณที่แสดงภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื้อยไข้าไปหาซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้าของสุทัศนะแล้วจึงเลื้อยกลับไปเข้าที่ขังของตนตามเดิม
พราหมณ์จึงบอกกับสุทัศนะว่า
"ท่านไม่ต้องกลัวถึงนาคจะกัดท่านไม่ช้าก็จะหาย"
สุทัศนะตอบว่า
"เราไม่กลัวดอกนาคนี้ไม่มีพิษถึงกัดก็ไม่มีอันตราย"
พราหมณ์หาว่าสุทัศนะดูหมิ่นว่าตนเอานาคไม่มีพิษมาแสดงจึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นสุทัศนะจึงท้าว่า
"เขียดตัวน้อยของเรานั้นยังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีกจะเอามาลองฤทธิ์กันดูก็ได้"
พราหมณ์กล่าวว่าหากจะให้สู้กันก็ต้องมีเดิมพันจึงจะสมควรสุทัศนะจึงทูลขอพระราชาพาราณสีให้เป็นผู้ประกันให้ตนโดยกล่าวว่าพระราชาจะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่างนาคกับเขียดเป็นการตอบแทนพระราชาก็ทรงยอมตกลงประกันให้แก่สุทัศนะสุทัศนะเรียกนางอัจจิมุขออกมาจากมวยผมให้คายพิษลงบนฝ่ามือ3 หยดแล้วทูลว่า
"พิษของเขียดน้อยนี้แรงนักเพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐราชาแห่งนาคหากพิษนี้หยดลงบนพื้นดินพืชพันธุ์ไม้จะตายหมดหากโยนขึ้นไปในอากาศฝนจะไม่ตกไป7 ปีถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด"
พระราชาไม่ทราบจะทำอย่างไรดีสุทัศนะจึงทูลขอให้ขุดบ่อ3 บ่อบ่อแรกใส่ยาพิษบ่อที่สองใส่โคมัยบ่อที่สามใส่ยาทิพย์แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อแรกก็เกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟลามไปติดบ่อที่สองและสามจนกระทั่งยาทิพย์ไหม้หมดไฟจึงดับพราหมณ์ตัวร้ายซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อถูกไอพิษจนผิวหนังลอกกลายเป็นขี้เรื้อนด่างไปทั้งตัวจึงร้องขึ้นว่า
"ข้าพเจ้ากลัวแล้วข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั้นให้เป็นอิสระ"
ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้นก็เลื้อยออกมาจากที่ขังเนรมิตกายเป็นมนุษย์พระราชาจึงตรัสถามความเป็นมาภูริทัตต์จึงตอบว่า
"ข้าพเจ้าและพี่น้องเป็นโอรสธิดาของท้าวธตรฐราชาแห่งนาคกับนางสมุทรชาข้าพเจ้ายอมถูกจับมายอมให้พราหมณ์ทำร้ายจนบอบช้ำเพราะปราถนาจะรักษาศีลบัดนี้ข้าพเจ้าเป็นอิสระแล้วจึงขอลากลับไปเมืองนาคตามเดิม"
พระราชาทรงดีพระทัยเพราะทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของนางสมุทรชาน้องสาวของพระองค์ที่บิดายกให้แก่ราชานาคไปจึงเล่าให้ภูริทัตต์และพี่น้องทราบว่าเมื่อนางสมุทรชาไปสู่เมืองนาคแล้วพระบิดาก็เสียพระทัยจึงสละราชสมบัติออกบวชพระองค์จึงได้ครองเมืองพาราณสีต่อมา
พระราชาประสงค์จะให้นางสมุทรชาและบรรดาโอรสได้ไปเฝ้าพระบิดาจะได้ทรงดีพระทัยสุทัศนะทูลพระราชาว่า
"ข้าพเจ้าจะกลับไปทูลให้พระมารดาทราบขอให้พระองค์ไปรออยู่ที่อาศรมของพระอัยกาเถิดข้าพเจ้าจะพาพระมารดาและพี่น้องตามไปภายหลัง"
ทางฝ่ายพรานเนสาทผู้ทำร้ายภูริทัตต์เพราะหวังดวงแก้วสารพัดนึกเมื่อตอนที่พราหมณ์โยนดวงแก้วให้นั้นรับไม่ทันดวงแก้วจึงตกลงบนพื้นและแทรกธรณีกลับไปสู่เมืองนาคพรานเนสาทจึงสูญเสียดวงแก้วสูญเสียลูกชายและเสียไมตรีกับภูริทัตต์เที่ยวซัดเซพเนจรไป
ครั้นได้ข่าวว่าพราหมณ์ผู้จับนาคกลายเป็นโรคเรื้อนเพราะพิษนาคก็ตกใจกลัวปราถนาจะล้างบาปจึงไปยังริมน้ำยมุนาประกาศว่า
"ข้าพเจ้าได้ทำร้ายมิตรคือภูริทัตต์ข้าพเจ้าปราถนาจะล้างบาป"
พรานกล่าวประกาศอยู่หลายครั้งเผอิญขณะนั้นสุโภคะกำลังเที่ยวตามหาภูริทัตต์อยู่ได้ยินเข้าจึงโกรธแค้นเอาหางพันขาพรานลากลงน้ำให้จมแล้วลากขึ้นมาบนดินไม่ให้ถึงตายทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งพรานจึงร้องถามว่า
"นี่ตัวอะไรกันทำไมมาทำร้ายเราอยู่เช่นนี้ทรมาณเราเล่นทำไม"
สุโภคะตอบว่าตนเป็นลูกราชานาคพรานจึงรู้ว่าเป็นน้องภูริทัตต์ก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยและกล่าวแก่สุโภคะว่า
"ท่านรู้หรือไม่เราเป็นพราหมณ์ท่านไม่ควรฆ่าพราหมณ์เพราะพราหมณ์เป็นผู้บูชาไฟเป็นผู้ทรงเวทย์และเลี้ยงชีพด้วยการขอท่านไม่ควรทำร้ายเรา"
สุโภคะไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไรจึงพาพรานเนสาทลงไปเมืองนาคคิดจะไปขอถามความเห็นจากพี่น้องเมื่อไปถึงประตูเมืองนาคก็พบอริฏฐะนั่งรออยู่อริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ครั้นรู้ว่าพี่ชายจับพราหมณ์มาจึงกล่าวสรรเสริญคุณของพราหมณ์สรรเสริญความยิ่งใหญ่แห่งพรหมและกล่าวว่าพราหมณ์เป็นบุคคลที่ไม่สมควรจะถูกฆ่าไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆการฆ่าพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้บูชาไฟนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงสุโภคะกำลังลังเลใจไม่ทราบจะทำอย่างไร
พอดีภูริทัตต์กลับมาถึงได้ยินคำของอริฏฐะจึงคิดว่าอริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์และการบูชายัญของพราหมณ์จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาหักล้างมิให้ผู้ใดคล้อยตามในทางที่ผิด
ภูริทัตต์จึงกล่าวชี้แจงแสดงความเป็นจริงและในที่สุดได้กล่าวว่า
"การบูชาไฟนั้นหาได้เป็นการบูชาสูงสุดไม่หากเป็นเช่นนั้นคนเผาถ่านคนเผาศพก็สมควรจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บูชาไฟยิ่งกว่าพราหมณ์หากการบูชาไฟเป็นสูงสุดการเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุดแต่หาเป็นเช่นนั้นไม่หากการบูชายัญจะเป็นบุญสูงสุดจริงพราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองถวายเป็นเครื่องบูชาแต่พราหมณ์กลับบูชาด้วยชีวิตของผู้อื่นเหตุใดจึงไม่เผาตนเองเล่า"
อริฏฐะกล่าวว่าพรหมเป็นผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างโลกภูริทัตต์ตอบว่า
"หากพรหมสร้างโลกจริงไฉนจึงสร้างให้โลกมีความทุกข์ทำไมไม่สร้างให้โลกมีแต่ความสุขทำไมพรหมไม่สร้างให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันเหตุใดจึงแบ่งคนเป็นชั้นวรรณะคนที่อยู่ในวรรณะต่ำเช่นศูทรจะไม่มีโอกาสมีความสุขเท่าเทียมผู้อื่นได้เลยพราหมณ์ต่างหากที่พยายามยกย่องวรรณะของตนขึ้นสูงและเหยียดหยามผู้อื่นให้ต่ำกว่าโดยอ้างว่าพราหมณ์เป็นผู้รับใช้พรหมเช่นนี้จะถือว่าพราหมณ์ทรงคุณยิ่งใหญ่ได้อย่างไร"
ภูริทัตต์กล่าววาจาหักล้างอริฏฐะด้วยความเป็นจริงซิ่งอริฏฐะไม่อาจโต้เถียงได้ในที่สุดภูริทัตต์จึงสั่งให้นำพรานเนสาทไปเสียจากเมืองนาคแต่ไม่ให้ทำอันตรายอย่างใดจากนั้นภูริทัตต์ก็พาพี่น้องและนางสมุทรชาผู้เป็นมารดากลับไปเมืองมนุษย์เพื่อไปเฝ้าพระบิดาพระเชษฐาของนางที่รอคอยอยู่แล้ว
เมื่อญาติพี่น้องทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับบ้านเมืองภูริทัตต์ขออยู่ที่ศาลากับพระอัยกาบำเพ็ญเพียรรักษาอุโบสถศีลด้วยความสงบดังที่ได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า
"ข้าพเจ้าจะมั่นคงในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์จะไม่ให้ศีลต้องมัวหมองไม่ว่าจะต้องเผชิญความทุกข์ยากอย่างไรข้าพเจ้าจะอดทนอดกลั้นตั้งมั่นอยู่ในศีลตลอดไป"
คติธรรม: บำเพ็ญศีลบารมี
"ความโลภนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกับการเนรคุณแต่ความอดทนย่อมประเสริฐยิ่งนักแล้ว"
ที่มา : เพจ Dhammathai.org
~~~~~~~~~~~~