เป็นพระสูตรหนึ่งในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกายปาฏิกวรรค ว่าด้วยทิศ ๖ คือ บุคคล ๖ ประเภท ที่มีควารมสัมพันธ์ต่อบุคคลๆ หนึ่ง และวิธีการปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้น ว่าด้วยมิตรแท้และมิตรเทีย มและยังว่าด้วยกรรมกิเลส ๔ อบายมุข ๖ และการไม่ทำความชั่วโดยฐานะ ๔ รวมทั้งหมด ๑๔ ประการ โดยผู้ที่ปราศจากความชั่ว ๑๔ ประการ ถือเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกทั้งสอง คือโลกนี้และโลกหน้า เมื่อตายไปก็จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
อรรถกถาสิงคาลกสูตร ในสุมังคลวิลาสินีกล่าวไว้ว่า "กรรมใดที่คฤหัสถ์ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่ง กรรมนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้ ย่อมไม่มีพระสูตรนี้ชื่อว่าคิหิวินัย เพราะฉะนั้นเมื่อฟังพระสูตรนี้แล้ว ปฏิบัติตามที่ได้สอนไว้ความเจริญเท่านั้นเป็นอันหวังได้ ไม่มีความเสื่อมฉะนี้”
ฝ่ายปราชญ์ด้านพุทธศาสนาแสดงความเห็นว่า"พระสูตรนี้ชาวยุโรปเลื่อมใสกันมากว่าจะแก้ปัญหาสังคมได้เพราะเสนอหลักทิศ ๖ อันแสดงว่าบุคคลทุกประเภทในสังคมควรปฏิบัติต่อกันในทางที่ดีงาม ไม่มีการกดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงไป"
ที่มาเรื่องราว
พระโคตมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระสูตรนี้ ณ พระนครราชคฤห์ คราวที่ทรงประทับณวัดเวฬุวันมหาวิหาร ในวันหนึ่ง "เวลาเช้าพระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตร ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้าออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าชุ่มมีผมเปียกประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้งหลาย คือทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน"
พระผู้เป็นเจ้า จึงทรงถามว่า สิงคาลกคฤหบดีบุตรกำลังทำอะไร สิงคาลกคฤหบดีบุตรตอบว่า กำลังไหว้ทิศทั้ง ๖ คามคำสั่งเสียของบิดา
เหตุที่สิงคาลกคฤหบดีบุตรออกมาไหว้ทิศทั้ง ๖ นั้น สืบเนื่องจากบิดาและมารดาของสิงคาลกคฤหบดีบุตรล้วนแต่ศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและยังเป็นโสดาบัน(มารดาต่อมาได้ออกบวชเป็นภิกษุณีบรรลุอรหันต์คือพระสิงคาลมาตาเถรี) แต่บุตรของคหบดี ไม่ศรัทธาในพระพุทธองค์ เมื่อครั้นคหบดีจะสิ้นใจจึงเกิดความคิดว่า "เราจักให้โอวาทแก่บุตรอย่างนี้ว่านี่แน่ลูกลูกจงนอบน้อมทิศทั้งหลายเขาไม่รู้ความหมายจักนอบน้อมทิศทั้งหลาย ลำดับนั้นพระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลายเห็นเขาแล้วจักถามว่าเธอทำอะไร แต่นั้นเขาก็จักกล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าสอนไว้ว่า เจ้าจงกระทำการนอบน้อมทิศทั้งหลาย ลำดับนั้นพระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลายจัก แสดงธรรมแก่เขาว่า บิดาของเธอจักไม่ให้เธอนอบน้อมทิศทั้งหลายเหล่านั้นแต่จักให้เธอนอบน้อมทิศเหล่านี้ เขารู้คุณในพระพุทธศาสนาแล้วจักทำบุญดังนี้"
ครั้นแล้ว คบบดีจึงบอกบุตรให้กระทำเช่นนั้น แล้วก็สิ้นชีพไป ส่วนผู้บุตรก็ปฏิบัติตามที่บิดาสั่งเสียกระทั่งพระพุทธองค์ทรงมาพบเห็นแล้วทรงไต่ถาม ซึ่งสิงคาลกคฤหบดีบุตรตอบพระองค์ว่า ไหว้ทิศทั้ง๖เพราะบิดาสั่งเสียไว้ฯ
เนื้อหาเพิ่มเติม
สมเด็จพระสัมมาสมัพุทธเจ้า ทรงสอนสิงคาลกคฤหบดีบุตรว่า ในอริยวินัยไม่พึงไหว้ทิศแบบนี้ เมื่อเขากราบทูลถามว่า พึงไหว้อย่างไรจึงตรัสว่า "อริยสาวกละกรรมกิเลสทั้ง ๔ ได้แล้วไม่ทำบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่าง นี้แล้วย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ย่อมปฏิบัติเพื่อชำนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้วทั้งโลกนี้และโลกหน้า เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกอริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"
จากนั้นทรงแสดงธรรมเป็นลำดับโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อธรรมต่างๆ ที่ทรงตรัสมา คือ
กรรมกิเลส ๔
การกระทำที่เศร้าหมองมี ๔ อย่าง ที่อริยสาวกละได้ คือ ๑. ฆ่าสัตว์ ๒. ลักทรัพย์ ๓. ประพฤติผิดในกาม๔. พูดปด
ไม่ทำความชั่วโดยฐานะ ๔
อริยสาวกไม่ทำกรรมชั่วโดยฐานะ ๔ คือ ความลำเอียงเพราะรัก, เพราะชัง, เพราะหลง, เพราะกลัว
อบายมุข ๖ คืออริยะสาวกไม่เสพปากทางแห่งความเสื่อมทรัพย์ ๖ อย่าง คือ ๑. เป็นนักเลงสุรา ๒. เที่ยวกลางคืน ๓. เที่ยวการเล่น ๔. เล่นการพนัน ๕. คบคนชั่วเป็นมิตร ๖. เกียจคร้าน
ครั้นแล้วทรงแสดงโทษของอบายมุขแต่ละข้อข้อละ ๖ อย่าง
มิตรเทียม ๔ประเภท คือ ๑. มิตรปอกลอก ๒. มิตรดีแต่พูด ๓. มิตรหัวประจบ ๔. มิตรชวนในทางเสียหาย พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรเทียมทั้งสี่ประเภทนั้น ประเภทละ ๔ ประการ
มิตรแท้ ๔ประเภท คือ ๑. มิตรมีอุปการะ ๒. มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข ๓. มิตรแนะประโยชน์ ๔. มิตรอนุเคราะห์(อนุกัมปกะ) ๒ พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรแท้ทั้งสี่ประเภทนั้นประเภทละ ๔ ประการ
ทิศ ๖ คือบุคคล ๖ ประเภทตามนิยามของอริยสาวก คือ ๑. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ มารดาบิดา ๒. ทิศเบื้องขวาได้แก่ อาจารย์ ๓. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา ๔. ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรอำมาตย์ ๕. ทิศเบื้องล่างได้แก่ ทาสกรรมกร ๖. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์
เมื่อสิงคาลกคฤหบดีบุตรได้สดับพระธรรมเทศนาก็มีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องทิศทั้ง ๖ และการไม่กระทำกรรมชั่ว บังเกิดเลื่อมใสพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต อีกทั้งยังเฉลี่ยทรัพย์๔๐โกฏิ ไว้ในพระพุทธศาสนา กระทำกรรมอันเป็นบุญได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้าฯ
~~~~~~~~~~~~~