เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

ขงจื๊อ 孔子

0

เดิมชื่อว่าชิว(丘)ชื่อรองจ้งหนี(仲尼)เป็นชาวเมืองโจวอี้(陬义)ในแคว้นหลู่ปัจจุบันคือเมืองชวีฟู่(曲阜)ในมณฑลซานตง(山东)ท่านเกิดในสมัยชุนชิว(春秋)เมื่อ551 ปีก่อนคริสตกาล(8 ปีก่อนพ..) ถึงแก่กรรมเมื่อ479 ปีก่อนคริสตกาล(.. 64) สิริอายุ73 ปี


ในบันทึกประวัติศาตร์สื่อจี้บทตระกูลขงจื๊อ’ <<史记,孔子世家>>ได้บันทึกไว้ว่าขงจื๊อสูงประมาณเมตรเรียกได้ว่าเป็นผู้สูงใหญ่’ อย่างแท้จริงตามคำร่ำลือกำลังแขนของขงจื๊อแข็งแรงยิ่งนักคุณลักษณะทางกายภาพเหล่านี้ขงจื๊อได้รับถ่ายทอดจากผู้เป็นบิดาซึ่งไม่ตรงกับภาพลักษณ์ที่คนรุ่นหลังกล่าวกันว่าขงจื๊อเป็นปัญญาชนที่ร่างกายอ่อนแอเพราะท่านชำนาญทั้งเกาทัณฑ์และขี่ม้านอกจากนี้ความสามารถในการดื่มสุราก็เหนือกว่าใคร


เมื่อขงจื๊ออายุได้ขวบบิดาก็เสียชีวิตเหยียนเจิงไจ้ทนการกดขี่ของภรรยาหลวงไม่ไหวจึงพาบุตรชายสองคนไปใช้ชีวิตตามลำพังนางอบรมเลี้ยงดูบุตรทั้งสองอย่างดีให้ความสำคัญกับการศึกษาหาความรู้โดยได้รับความช่วยเหลือจากบิดาของนางมารดาและผู้เป็นตาจึงเป็นผู้ปลูกฝังความใฝ่รู้ให้กับขงจื๊อตั้งแต่ยังเยาว์วัยสิ่งที่ขงจื๊อเล่าเรียนในขณะนั้นคือจารีตประเพณี 


ธรรมเนียมปฏิบัติและพิธีกรรมของชนชั้นสูงและผู้มีฐานะในสังคมสมัยราชวงศ์โจวเมื่อขงจื๊ออายุ15 ปีก็ตั้งปณิธานใฝ่ศึกษาศิลปวิชาแขนงต่างดังที่มีบันทึกในหนังสือวาทะวิจารณ์ของขงจื๊อ’ <<论语>> ว่าข้าอายุ15 ก็ตั้งมั่นในการศึกษา” (吾十有五而志于学)


พออายุ17 ผู้เป็นมารดาจากไปขงจื๊อเลี้ยงชีพด้วยการเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในแคว้นหลู่ทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานดูแลคลังเสบียงและเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ตามลำดับนอกจากนี้จวนขุนนางหรือคหบดีคนใดมีงานมงคลหรืออวมงคลก็จะไปเป็นผู้ทำพิธีกรรมให้ด้วยอุปนิสัยที่ใฝ่รู้ท่านจึงมุ่งมานะหมั่นศึกษามาโดยตลอดอายุ20 กว่าก็สนใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองมักถกปัญหาและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองแก่บรรดานักปกครองจนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้รอบรู้และสันทัดในนิติธรรมเนียม()’ ดังเช่นครั้นเมื่อเจ้าผู้ครองแคว้นฉีพระนามว่าฉีจิ่งกง’ (齐景公เดินทางมาเยือนแคว้นหลู่พร้อมกับเสนาบดีผู้กระเดื่องนามในประวัติศาตร์นามว่าเยี่ยนอิง(晏婴)ทั้งสองได้เชิญขงจื๊อเข้าพบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง


ขงจื๊อถนัดในการศึกษาเรียนรู้ข้อดีของคนอื่นดังที่ได้กล่าวไว้ว่าสามคนร่วมเดินจักต้องมีอาจารย์ของเราเป็นแน่จงเลือกที่ดีเพื่อเอาอย่างส่วนที่ไม่ดีก็จงนำมาแก้ไขปรับปรุงตน(三人行,必有一师焉。择其善者而从之,其不善者而改之)และยังเห็นว่าผู้มีความรู้ต้องพร้อมด้วยวรยุทธ์ผุ้มีวรยุทธ์ต้องพร้อมด้วยความรู้(有文事者必有武备,有武事者必有文备)ซึ่งก็ต้องเป็นผุ้รอบรู้นั่นเองความขยันหมั่นเพียรศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่เยาว์วัยเป็นการสั่งสมความรู้ความสามารถสำหรับการสร้างระบบแนวคิดและปูพื้นฐานที่มั่นคงในการถ่ายทอดความรู้แก่ลูกศินย์ทำให้ขงจื๊อเป็นผู้รอบรู้ในยุคสมัยนั้นและมีผู้มาฝากตัวเป็นศินย์เพิ่มขึ้นเรื่อย


ครั้นอายุ35 แคว้นหลู่เกิดศึกการเมืองภายในจากการแย่งชิงอำนาจกันเองของผู้ปกครองขงจื๊อจึงเดินทางไปยังแคว้นฉีด้วยความคาดหวังว่าเจ้าผุ้ปกครองแคว้นฉีจะสนใจแนวคิดการปกครองของตนแต่ต้องผิดหวังที่เจ้าผู้ปกครองแคว้นไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควรทั้งยังมีขุนนางคอยกลั่นแกล้งและกีดกันท่านจึงกลับมายังแคว้นหลู่หลังจากที่อยู่แคว้นฉีได้ราวหนึ่งปีและดำเนินชีวิตเป็นครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่บรรดาสานุศินย์ทั้งหลาย


ขงจื๊อในวัย51-54 ปีใช้ชีวิตวัยกลางคนคลุกคลีกับการปกครองบ้านเมืองอย่างเต็มตัวด้วยการดูแลท้องที่เล็กแห่งหนึ่งจากนั้นไม่นานก็ได้เป็นผู้คุมการโยธาและผู้ดูแลกฎหมายและการลงทัณฑ์ของแคว้นหลู่ตามลำดับท่านทุ่มเทกับงานและปรารถนาให้มีการปกครองที่ดีบ้านเมืองสงบสุขแต่ต้องผิดหวังกับการเมืองภายในแคว้นจึงได้ลาออกและเดินทางเยือนแว่นแคว้นต่างเผยแพร่แนวความคิดทางการปกครองด้วยความคาดหวังให้บรรดาผู้ปกครองยึดหลักธรรมในการบริหารบ้านเมืองสังคมเป็นระเบียบแบบแผนและสงบสุขแม้จะรู้ว่าเป้นไปได้ยากในสภาพบ้านเมืองเวลา14 ปีจนกระทั่งอายุได้67 ปีจึงเดินทางกลับแคว้นหลู่และเสียชีวิตเมื่ออายุ73 ปี


ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่เดินทางเยือนผู้ปกครองของแว่นแคว้นต่างเพื่อแนะแนวทางการบริหารบ้านเมืองขงจื๊อประสบกับอุปสรรคนานัปการไม่ว่าจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยามใส่ร้ายป้ายสีปองร้ายควบคุมตัวและแนวความคิดก็ไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากสวนทางกับสภาพบ้านเมืองและสังคมในขณะนั้นที่เจ้าครองแคว้นต่างคำนึงถึงผลประโยชน์ความอยู่รอดของแคว้นตนแต่ท่านก็ไม่ลดละความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นที่ต้องการมีส่วนร่วมสร้างสังคมที่ดียินดีที่จะอุทิศตนเพื่อประชาชนท่านกล่าวว่าผู้มีปณิธานและมนุษยธรรมจะไม่ทำลายมนุษยธรรมเพียงเพื่อแลกกับการมีชีวิตจะมีแต่อุทิศชีวิตตนเพื่อให้บรรลุมนุษยธรรม



หลักความรู้

ศาสตร์สี่แขนงที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ได้แก่วัฒนธรรมความประพฤติความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ 


โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลักแต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า


แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้

ได้แก่สำรวจตรวจสอบขยายพรมแดนความรู้จริงใจแก้ไขดัดแปลงตนบ่มความรู้ประพฤติตามกฎบ้านเมืองประเทศต้องได้รับการดูแลนำความสงบสุขมาสู่โลก


ลำดับการเรียนรู้

ได้แก่พิธีกรรมดนตรียิงธนูขี่ม้าประวัติศาสตร์และคณิตศาสตร์


คุณธรรมทั้งสามที่ได้จากการเรียนรู้ได้แก่ภูมิปัญญาเมตตากรุณาและความกล้าหาญ


สี่ขั้นตอนหลักการสอน

ได้แก่ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี  ตั้งตนในคุณธรรมอาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล  สร้างสรรค์ศิลปะใหม่


สี่ลำดับการสอน

ได้แก่คุณธรรมและความประพฤติภาษาและการพูดจารัฐบาลและกิจการบ้านเมืองและสุดท้ายคือวรรณคดี



เนื้อหาปรัชญาของขงจื๊อ

ปรัชญาปัจเจกชน :

ขงจื๊อสอนว่าความเจริญหรือความเสื่อมของโลกของสังคมเกิดมาจากปัจเจกชนหรือแต่ละบุคคลเป็นรากฐานเพราะฉะนั้นรัฐจะต้องพัฒนาคนให้ดีเสียก่อนแล้วสังคมประเทศตลอดถึงโลกก็จะดีขึ้นตามโดยอัตโนมัติขงจื๊อเชื่อว่าการที่จะเป็นคนดีได้นั้นประการแรกจะต้องได้รับการศึกษาการได้รับการศึกษาจากสถาบันการศึกษาหรือจะศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองก็ได้การศึกษาก็จะทำให้คนฉลาดขึ้นสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งดีและสิ่งชั่วร้ายว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ควรทำอะไรเป็นไปเพื่อความเจริญอะไรเป็นไปเพื่อความเสื่อมเมื่อรู้แล้วก็จะหาทางหลีกเลี่ยงความเสื่อมแล้วดำเนินไปสู่ความเจริญขงจื๊อเชื่อว่าทุกคนมีอัธยาศัยใกล้เคียงกันแต่ที่มาแตกต่างกันเป็นคนดีคนชั่วคนฉลาดคนโง่ก็เพราะการศึกษาอบรมอย่างเช่นคนที่มีการศึกษาอบรมก็ย่อมจะรู้จักปรับปรุงตนให้ดีขึ้นสละความไม่ดีทิ้งออกไปเหล่านี้เป็นต้นก็จะเป็นผลให้เป็นคนดีแต่ถ้าไม่เป็นตามนี้ก็เป็นคนชั่วดังที่ขงจื๊อกล่าวว่า


การไม่อบรมตนให้มีคุณธรรมหนึ่งการไม่เสาะแสวงหาความรู้หนึ่งประสบความชอบธรรมแล้วไม่อนุวัตรตามความชอบธรรมนั้นหนึ่งการไม่สละความผิดด้วยการปรับปรุงตนใหม่หนึ่งทั้งหมดนี้เป็นความทุกข์ของฉัน


คนที่ฉลาดย่อมปรับปรุงตนเองให้สูงขึ้นอยู่เสนอทั้งสามารถหาสาระได้จากสิ่งที่ไม่น่ามีสาระอย่างที่ขงจื้อกล่าวว่าในจำนวนคนคนที่เดินมาด้วยกันจะต้องมีคนที่สามารถเป็นครูของฉันได้จงเลือกเอาแต่จุดที่ดีของเขามาปฏิบัติส่วนจุดที่เสียก็จงละเว้น” หรือขงจื๊อกล่าวไว้ว่าจงร่อนเอาความดีออกจากสิ่งต่างที่ท่านได้ยินและปฏิบัติตามความดีเหล่านั้นจงร่อนเอาความดีออกจากสิ่งต่างที่ท่านได้เห็นและจำความดีเอาไว้


ขงจื๊อมีความเห็นว่าคนดีจะต้องช่วยกันรักษาจารีตประเพณีตลอดถึงมารยาทที่ดีงามไว้เพราะเรื่องเหล่านี้ได้ผ่านการกลั่นกรองและทดสอบด้วยกาลเวลามาแล้วจารีตประเพณีตลอดถึงมารยาทที่ดีงามจะทำให้เป็นอารยชนไม่ป่าเถื่อนและจะช่วยให้คนก้าวหน้าไปสู่ความเจริญยิ่งขึ้นต่อไปและที่สำคัญยิ่งคนดีจะต้องมีหลักธรรมประจำใจยึดมั่นในคุณธรรมเช่นความขยันหมั่นเพียรความซื่อสัตย์สุจริตความยุติธรรมความกล้าหาญความเมตตากรุณาเป็นต้นคนดีจะต้องเทิดทูนคุณธรรมไว้ยิ่งชีวิตดังที่ขงจื้อกล่าวว่าบัณฑิตย่อมเห็นแก่คุณธรรมยิ่งกว่าปากท้อง” หรือบัณฑิตผู้มีธรรมย่อมไม่ทำลายธรรมเพราะเห็นแก่ชีวิตแต่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมไว้


ขงจื๊อสนับสนุนให้คนเทิดทูนธรรมยิ่งกว่าชีวิตข้อนี้ตรงกับโซเครตีสนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของกรีกและตัวโซเครตีสเองก็ได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างมาแล้วหรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเชิดชูคุณธรรมเช่นกันแสดงว่าคุณธรรมมีคุณค่าเหนือสิ่งใดขงจื๊อได้กล่าวถึงคุณธรรมที่เป็นไปเพื่อความสุขความเจริญไว้เป็นอเนกนัยเช่น สิ่งเหล่านี้บัณฑิตคอยต่อต้านคือกามตัณหาในเนื้อหนังในวัยหนุ่มการระรานในวัยฉกรรจ์และความละโมบในวัยชรา


บัณฑิตย่อมคิดถึงแต่อุปนิสัยของตนส่วนคนพาลคิดแต่ตำแหน่งของตนฝ่ายแรกคิดหาวิธีแก้ไขความผิดแต่ฝ่ายหลังคิดถึงแต่ความโปรดปราน


บัณฑิตแสวงหาสิ่งที่เป็นความถูกต้องส่วนคนพาลเสาะแสวงหาแต่ผลประโยชน์


คุณสมบัติแก่นสารอย่างของวีรชนคือเขาเป็นคนถ่อมตนเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่มีความกรุณาต่อคนทั่วไปและเป็นคนยุติธรรมเสมอ



ปรัชญาสังคม :

สังคมมิใช่อื่นไกลก็คือการรวมตัวของปัจเจกชนนั่นเองคนเรามิใช่อยู่โดดเดี่ยวจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นด้วยเมื่อมีความเกี่ยวข้องกันสังคมก็เกิดขึ้นและเมื่อมีความเกี่ยวข้องกันก็จำเป็นต้องมีหลักในการปฏิบัติต่อกันเป็นเหตุให้เกิดปรัชญาสังคมขึ้นมาขงจื๊อได้จัดความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลประเภทพร้อมทั้งหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันดังต่อไปนี้

1. ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้การปกครองโดยผู้ปกครองผู้ปกครองแสดงความนับถือให้เกียรติส่วนผู้อยู่ใต้ปกครองก็ต้องจงรักภักดี

2. บิดามารดากับบุตรธิดาโดยบิดามารดาให้ความเมตตากรุณาส่วนบุตรธิดาก็มีความกตัญญูกตเวที

3. สามีกับภรรยาโดยสามีมีคุณธรรมฝ่ายภรรยาก็ต้องเชื่อฟัง

4. พี่กับน้องโดยที่วางตัวให้สมกับเป็นพี่ส่วนน้องก็เคารพเชื่อฟัง

5. เพื่อนกับเพื่อนต่างก็ต้องทำตัวให้น่าเชื่อถือและไว้วางใจกันได้


ขงจื๊อมีความเห็นว่าความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในสังคมก็เพราะคนไม่ทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์เช่นบิดามารดาไม่เลี้ยงดูบุตรธิดาให้ดีบุตรธิดาก็ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาสามีกับภรรยาต่างนอกใจกันเป็นต้นผลก็คือความเดือดร้อนต่างก็จะมาตกแก่สังคมทำให้สังคมเดือดร้อนแต่ตรงกันข้ามหากทุกคนทำตามหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ปัญหาความวุ่นวายของสังคมก็จะหมดไปเพราะฉะนั้นการทำหน้าที่ของตนให้ดีจึงสำคัญดังที่ขงจื๊อว่ากษัตริย์ต้องทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้สมบูรณ์ขุนนางต้องทำหน้าที่ขุนนางให้สมบูรณ์บิดามารดาทำหน้าที่บิดามารดาให้สมบูรณ์บุตรธิดาก็ทำหน้าที่บุตรธิดาให้สมบูรณ์


การที่แต่ละคนจะทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ได้ก็เพราะมีใจตั้งอยู่บนคุณธรรมพื้นฐานคือเอาใจเขามาใส่ใจเราเรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใดคนอื่นสัตว์อื่นก็ฉันนั้นการเอาใจเขามาใส่ใจเราภาษาจีนเรียกว่าซู่” (อย่างเช่นครั้งหนึ่งจื้อกงถามขงจื๊อว่าจะมีคำสักคำไหมที่จะนำมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต


ปรัชญาสังคมของขงจื๊อก็ทำนองเดียวกับคำสอนในพุทธศาสนาที่เรียกว่าคิหิปฏิบัติตอนที่ว่าด้วยทิศ ได้แก่ทิศตะวันออกคือบิดามารดาทิศใต้คือครู-อาจารย์ทิศตะวันตกบุตรภรรยาทิศเหนือมิตรสหายทิศเบื้องบนนักบวชและทิศเบื้องต่ำข้าทาสบริสารหรือผู้น้อยทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมจะมีความเกี่ยวข้องกันในฐานะใดฐานะหนึ่งหรือหลายฐานะใครอยู่ในฐานะไหนก็ต้องทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์อย่างเช่น

บิดามารดามีหน้าที่ต้องทำต่อบุตรธิดาคือ

1. ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว

2. ให้ตั้งอยู่ในความดี

3. ให้การศึกษาศิลปวิทยา

4. หาคู่ครองที่สมควรให้

5. มอบมรดกให้เมื่อถึงเวลา


ส่วนบุตรธิดาก็ต้องทำหน้าที่ของตนต่อบิดามารดาคือ

1. เลี้ยงดูท่านตอบ

2. ช่วยทำกิจธุระของท่าน

3. ดำรงวงศ์ตระกูลของท่าน

4. ประพฤติตัวให้สมควรรับมรดก

5. เมื่อบิดามารดาสิ้นชีพไปแล้วก็หมั่นทำบุญอุทิศไปให้ท่านเหล่านี้เป็นต้น



ปรัชญาด้านการเมือง :

สังคมทั้งหลายเมื่อมารวมกันก็เป็นเหตุให้เกิดรัฐขึ้นมาเมื่อมีรัฐหรือประเทศก็ต้องมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลคอยปกครองดูแลสังคมให้เป็นไปอย่างปกติสุขและเจริญก้าวหน้าต่อไปแต่ก็เป็นความจริงว่ายังมีผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่ไม่ดีอยู่มากใช้วิธีกดขี่ทารุณประชาชนทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนมากอย่างเช่นคราวหนึ่งขงจื๊อพาคณะเดินทางไปรัฐฉี(齐国ขณะที่ผ่านป่าใหญ่ใกล้เชิงเขาไท่ซาน(泰山ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงคนหนึ่งขงจื๊อจึงพูดขึ้นว่าเสียงร้องไห้ฟังโหยหวนโศกาดูรยิ่งนักหญิงผู้นั้นคงจะมีทุกข์หนักเป็นแน่แท้” จึงใช้ให้จื่อก้งไปถามหญิงคงนั้นได้ตอบจื่อก้งว่าน้าชายของฉันถูกเสือกัดตายไม่นานนี้ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกัดตายครั้นมาบัดนี้ลูกชายของฉันต้องมาตายเพราะถูกเสือกัดอีก


จื่อก้ง ก็ทำไมไม่ย้ายบ้านหนีไปเล่า” 

หญิงคนนั้นตอบว่า ก็ที่นี่ไม่มีรัฐบาลที่กดขี่ทารุณนะซี” 

จื่อก้งจึงนำความมาบอกขงจื๊อขงจื๊อฟังด้วยความสลดใจได้กล่าวขึ้นว่า ศิษย์ทั้งหลายจงจำไว้เถิดอันรัฐบาลที่กดขี่ทารุณนั้นมันร้ายยิ่งกว่าเสือเสียอีก


ขงจื๊อได้รับความกระทบกระเทือนใจมากจากเรื่องที่ฟังมาจึงคิดหาทางที่จะให้มีนักปกครองหรือรัฐบาลที่ดีให้จงได้จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปรัชญารัฐหรือปรัชญาการเมืองขึ้นมาโดยส่วนตัวขงจื๊อนิยมชมชอบรัฐศาสตร์จารีตนิติธรรมเนียมโบราณสมัยพระเจ้าเงี้ยวพระเจ้าซุ่นพระเจ้าอู๊และราชวงศ์โจวโดยเฉพาะก็โจงกงรัฐบุรุษเชื้อสายราชวงศ์โจวเป็นบุคคลแบบอย่างในอุดมคติของขงจื๊อขงจื๊อจึงพยายามบำเพ็ญตนให้เหมือนโจวกงทั้งเทิดทูลพระเกียรติคุณของกษัตริย์ดังกล่าวมานั้นขงจื๊อได้เสนอปรัชญาการเมืองขึ้นมามีเป้าหมายเพื่อนำสันติสุขและความเจริญมาให้ประชาชนเป็นที่ตั้งเหตุที่สำคัญที่จะบันดาลให้บรรลุถึงผลดังกล่าวได้ก็อยู่ที่ตัวผู้นำหากได้ผู้นำเป็นคนดีมีความรู้ก็สามารถทำให้สัมฤทธิผลได้เพราะฉะนั้นขงจื๊อจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาผู้นำเป็นการใหญ่แต่ทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างผู้นำที่ดีให้เกิดมีขึ้น


ขงจื๊อเชื่อว่าการที่จะสร้างให้เป็นคนดีประการแรกจะต้องให้การศึกษาอบรมเสียก่อนวิชาที่ขงจื๊อสอนมีหลายวิชาหรือที่เรียกว่าศาสตร์ทั้งซึ่งก็มีประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ธรรมชาติวิทยา นิติธรรมเนียม กวีนิพนธ์ดนตรี เพราะนิติธรรมเนียมประเพณีตลอดถึงมารยาททางสังคมเป็นแนวทางให้คนดำเนินไปสู่ความเป็นอารยชนเป็นคนเมืองมิใช่คนป่าส่วนวิชากวีนิพนธ์ก็เพื่อให้ใจเห็นความงามและเป็นระเบียบทำให้เกิดแรงบันดาลใจนำไปสู่การคิดคำนึงถึงความทรงจำเก่าทั้งเป็นการเสริมสร้างการสมาคมและเป็นการระบายความไม่สมหวังของคนได้ด้วยส่วนวิชาดนตรีก็เพื่อให้ซาบซึ้งถึงความไพเราะความกลมกลืนกันดนตรีมิเพียงแต่ทำความรู้สึกนึกคิดให้กลมกลืนกันเท่านั้นแต่ยังนำความสับสนวุ่นวายของสังคมไปสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วยวิชาทั้งนี้เป็นไปเพื่อกล่อมเกลาใจคนให้อ่อนโยนละมุนละไมเหมาะที่จะปลูกให้มีคุณธรรมต่อไปขงจื๊อได้กล่าวว่าอุปนิสัยของคนอาจปลูกฝังขึ้นได้ด้วยกวีนิพนธ์เสริมสร้างให้มั่งคงด้วยจารีตประเพณีและทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี


ความเป็นไปของขงจื๊อหลายอย่างคล้ายกับโซเครตีสอย่างเช่นขงจื๊อและโซเครตีสชอบเสาะแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อนทั้งพยายามสั่งสอนอบรมคนอย่างไม่เบื่อหน่ายโซเครตีสกล่าวว่าข้าพเจ้ารู้อย่างเดียวว่าข้าพเจ้าไม่รู้” ("I know that I know nothing" หรือ"I know one thing: that I know nothing") ส่วนขงจื๊อก็กล่าวว่าลักษณะผู้รู้คือผู้รู้ตัวว่ารู้อะไรบ้างและไม่รู้อะไรบ้าง“ ดังที่ขงจื๊อกล่าวว่าเมื่อข้าพเจ้าสอนอะไรหากท่านรู้ก็บอกว่ารู้เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้นั่นแหละคือความรู้(”知之为知之,不知为不知,是知也ข้อนี้ก็ตรงกับคำสอนในศาสนาคริสต์ที่พระเยซูสอนไม่ให้สบถสาบานแต่ให้พูดตามความจริงถ้าใช่ก็ว่าใช่ถ้าไม่ก็ว่าไม่พูดเท่านี้พอแล้วคำพูดที่เกินกว่านี้ย่อมมาจากความชั่ว(มัทธิว๓๓-๓๗โซเครติสเที่ยวสั่งสอนอบรมคนให้เป็นฉลาดและเป็นคนดีดังที่เขากล่าวว่าข้าพเจ้าจะอยู่ในกรุงเอเธนส์ตามเทวบัญชาจะคอยชักนำชาวเอเธนส์ให้ทำความดีตลอดเวลาจะอยู่กับท่านไม่จากไปดุจตัวไรไม่พรากไปจากม้า… ข้าพเจ้าทำตัวเหมือนบิดาหรือพี่ชายใหญ่คอยให้โอวาทเพื่อดำเนินชีวิตไปในทางที่ชอบพยายามให้แต่ละคนเลิกคิดถึงเรื่องว่าคนมีอะไรแต่ให้คิดเสียใหม่ว่าตนคืออะไรให้ศึกษาทางที่จะเป็นคนฉลาดและเป็นคนดี…” 


ส่วนขงจื๊อก็เที่ยวสั่งสอนอบรมคนให้เป็นคนฉลาดและคนดีเช่นกันและการใช้ดนตรีและกวีนิพนธ์มาเป็นหลักสูตรในการศึกษาของขงจื๊อก็เหมือนกับวิธีการของเพลโต้ศิษย์เอกของโซเครตีสเพลโต้ถือว่าดนตรีและกวีนิพนธ์มีอานุภาพช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนควรที่จะรับคุณธรรมต่อไปดนตรีทำให้วิญญาณได้ส่วนทำนองเดียวกับกายบริหารทำให้ร่างกายได้สัดส่วนฉันนั้นขงจื๊อก็เช่นกันถือว่ากวีนิพนธ์และดนตรีเป็นเครื่องมือในการกล่อมเกลาอารมณ์ให้สงบประณีตได้อย่างดี


ขงจื๊อเป็นคนรักดนตรีอย่างยิ่งจนได้รับเกียรติว่าเป็นปรมาจารย์แห่งดนตรีเมื่อเขาเดินทางไปอาศัยรัฐฉี(齐国ขงจื๊อได้ศึกษาดนตรีของนครฉีจนลืมรสอาหารถึงเดือนดังที่ขงจื๊อกล่าวว่าข้าพเจ้าไม่เคยสดับเสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะโสตอย่างนี้เลย” ตลอดชีวิตของท่านได้อาศัยกวีนิพนธ์และดนตรีเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากก็ว่าได้ขงจื๊อได้วิจารณ์ดนตรีสมัยพระเจ้าซุ่นว่าทั้งไพเราะทั้งดีงามทั้งนี้ก็เพราะมีเนื้อและทำนองนุ่มนวลสงบเย็นผิดกับดนตรีสมัยพระเจ้าโจวอู่อ๋อง(周武王)ซึ่งก็ไพเราะแต่ขาดความดีงามเพราะเนื้อและทำนองรวดเร็วรุนแรงแบบรบพุ่งปราบปรามวิชาดนตรีและกวีนิพนธ์จึงเป็นหลักสูตรสำคัญยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจะต้องเรียนในมหาวิทยาลัยขงจื๊อ


การศึกษาวิชาการต่างผู้ศึกษาจะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งไม่ใช่ศึกษาว่าตามกันโดยไม่คิดนึกตรึกตรองให้เห็นอย่างถ่องแท้ถ้าศึกษาแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์ในทำนองเดียวกันการคิดเอาเองโดยไม่เรียนก็ไม่ดีเช่นกันดังที่ขงจื๊อกล่าวว่าการศึกษาโดยปราศจากความคิดก็ไร้ประโยชน์ทำนองเดียวกันความคิดที่ปราศจากการศึกษาก็เป็นอันตราย


ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อการศึกษามากคนที่ได้รับการศึกษาแล้วไม่ได้รับประโยชน์นั้นไม่มีเพราะฉะนั้นทุกคนควรศึกษาเล่าเรียนไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนแต่ปฐมวัยดูจะเหมาะกว่าดังมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งขงจื๊อถูกถามว่าการศึกษาดีสำหรับคนทุกคนหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่าคนที่ศึกษาได้ปีแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการศึกษานั้นหายากเหลือเกิน” ขงจื๊อถูกถามอีกว่าการศึกษาดีทุกเวลาทุกวัยหรือไม่” ก็ได้รับคำตอบว่าการศึกษาดีทุกเวลาและทุกวัยแต่ถ้าได้รับการศึกษาเมื่อยังหนุ่มย่อมดีกว่า


ขงจื๊อมีความเชื่อว่าทุกคนมีอัธยาศัยคล้ายกันโดยธรรมชาติคืออยากเป็นคนดีไม่อยากเป็นคนชั่วแต่ที่ต้องถลำตัวเป็นคนชั่วก็เพราะสาเหตุคือ1. ไม่ได้รับการศึกษาอบรมจึงทำให้ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว2. ความจำเป็นบังคับเช่นความอดอยากยากจนหากรัฐสามารถแก้เหตุทั้งอย่างนี้ได้ก็จะไม่มีคนชั่วอีกต่อไปขงจื๊อได้พิสูจน์ถึงทฤษฎีนี้แล้วได้ผลสมความมุ่งหมายเรื่องมีอยู่ว่าสมัยที่ขงจื๊อกำลังมีชีวิตรุ่งโรจน์ในทางการเมืองในแคว้นหลู่โดยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมขงจื๊อได้ใช้อำนาจหน้าที่ออกระเบียบแก้ไขนักโทษล้นคุกดังต่อไปนี้ประการแรกขงจื๊อได้ทำการศึกษาประวัตินักโทษแต่ละคนตลอดถึงครอบครัวของเขาประการถัดมาขงจื๊อได้เชิญนักกฎหมายและผู้พิพากษามาพบขงจื๊อได้กล่าวแก่นักกฎหมายและผู้พิพากษาว่าตนได้ศึกษาประวัตินักโทษแต่ละคนแล้วพบว่านักโทษเกือบทั้งหมดเป็นคนเขลาเพราะไม่ได้รับการศึกษาอบรมและเป็นคนยากจนหรือเป็นลูกของคนเขลาและยากจนคนรวยมักจะได้รับการศึกษาจึงมีความสามารถที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตได้เมื่อคนรวยทำอาชญากรรมก็อาจหลบเลี่ยงโทษทัณฑ์โดยให้สินบนแก่ผู้พิพากษาเพราะฉะนั้นงานที่จะต้องทำรีบด่วนก็คือขจัดความโง่เขลาโดยให้การศึกษาและขจัดความยากจนโดยช่วยให้เขามีความสามารถประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริต


นักกฎหมายและผู้พิพากษาถามว่าเราจะเริ่มต้นที่ไหนดี” ขงจื๊อตอบว่าเริ่มที่ตัวเราพวกท่านเป็นนักกฎหมายและผู้พิพากษาก็ขออย่าพลิกกลับความยุติธรรมมีการตัดสินสำหรับคนจนอย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนรวยกฎข้อแรกของพวกท่านก็คืออย่าทำอะไรแก่ผู้อื่นอย่างที่ท่านก็ไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำกับท่าน


ผลการทดลองตามทฤษฏีของขงจื๊อปรากฏว่าต่อมาอีกปีเรือนจำในแคว้นหลู่ว่างเปล่าไม่มีนักโทษอยู่เลย


ความเชื่อของขงจื๊อที่ว่าทุกคนไม่อยากเป็นคนชั่วก็ตรงกับความเชื่อของโซเครตีสกล่าวคือโซเครตีสเชื่อว่าทุกคนอยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้นแต่ที่หันไปทำความชั่วก็เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นความดีอะไรเป็นความชั่วหากรู้ว่าอะไรเป็นความชั่วแล้วก็จะไม่มีใครหันไปทำความชั่วอย่างแน่นอนเพราะการทำความชั่วทั้งที่รู้นั้นไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์หรือหากถูกบังคับให้เลือกทำความชั่วอย่างก็จะไม่มีใครที่เลือกทำความชั่วชนิดที่หนักกว่าเลย


โซเครตีสเชื่อว่าคุณธรรมจะคอยควบคุมไม่ให้คนทำความชั่วสมมุติว่าถ้าจะทำความชั่วโซเครติสก็ยังมีความเห็นว่าถ้าบุคคลทำความชั่วทั้งที่รู้ว่าเป็นความชั่วก็ยังดีกว่าคนที่ทำความชั่วโดยยังไม่รู้ว่าชั่วเพราะฝ่ายแรกยังมีความรู้ว่าอะไรดียังมีภาวะแห่งความดีเป็นสาระอยู่ในตัวผิดกับฝ่ายหลังยังไม่มีภาวะดังกล่าวเลยก็มีหวังทำความชั่วต่อไปเรื่อย


ขงจื๊อเชื่อว่าหากได้ผู้นำที่ดีเด่นทั้งความรู้และคุณธรรมมาปกครองประเทศแล้วไซร้ก็จะบันดาลความผาสุกและเจริญรุ่งเรืองให้เกิดขึ้นแก่พลเมืองได้เป็นแน่แท้ขงจื๊อให้ความสำคัญต่อผู้นำประเทศชาติมากเป็นกัปตันที่จะพารัฐนาวาไปถึงจุดหมายปลายทางคือความสุขความเจริญรุ่งเรืองเพราะความรู้ความสามารถและคุณธรรมที่สูงส่งของผู้นำบันดาลให้เกิดทั้งความดีของผู้นำก็ช่วยดึงดูดจิตใจของพลเมืองให้เอาแบบอย่างด้วย 


ขงจื๊อได้วางหลักสูตรสำหรับผู้ปกครองไว้ ประการคือ

1. การอบรมตนให้มีคุณธรรม

2. การยกย่องผู้มีความรู้ความสามารถ

3. การปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดตามความสามารถเหมาะสมกับฐานะบุคคลในสังคม

4. การยกย่องขุนนางผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจในแผ่นดิน

5. การแผ่พระคุณไปในหมู่ขุนนางผู้น้อง

6. การแผ่ความรักไปในหมู่ราษฎรดุจบุตรธิดาในอุทร

7. การสนับสนุนส่งเสริมศิลปวิทยาและอาชีพต่างให้เจริญ

8. การต้อนรับชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายหรือสวามิภักดิ์

9. การผูกมัดน้ำใจเจ้าครองนครทั้งหลายด้วยไมตรี


สูตรทั้ง ข้อนี้มีทั้งนโยบายปกครองตนปกครองประชาชนปกครองราชการนโยบายการศึกษาเศรษฐกิจตลอดถึงนโยบายต่างประเทศและสูตรทั้งข้อนี้สามารถย่อยลงในคำพูด คำคือเจิ้งหมิง(正名ซึ่งแปลว่าการปฏิบัติงานให้ถูกต้องกับฐานะและชื่อเสียงของตน


ขงจื๊อมีความเห็นว่าในการปกครองประเทศผู้ปกครองอย่าใช้พระเดชนำหน้าเพราะการใช้พระเดชอาจทำให้ราษฎรเกรงกลัวได้ก็จริงแต่รัฐก็ได้รับความเกลียดชังจากราษฎรเช่นกันเพราะกลัวกับการเกลียดนั้นอยู่ใกล้กันการใช้กำลังถึงจะเอาชนะได้ก็เพียงชนะภายนอกไม่สามารถเอาชนะจิตใจราษฎรได้เมื่อราษฎรไม่พอใจมากก็จะคิดต่อต้านหรืออย่างน้อยก็ไม่ให้ความร่วมมือแต่ตรงกันข้ามหากรัฐบาลใช้พระคุณนำหน้าพลเมืองก็จะนิยมชมชอบและให้การสนับสนุนดังที่ขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ในการปกครองหากใช้แต่กฎหมายอย่างเดียวปกครองประชาชนสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยอาชญาแล้วไซร้ประชาชนไม่เพียงจักหลบเลี่ยงละเมิดกฎหมายเท่านั้นยังจะไม่มีความละอายต่อความชั่วด้วยความรู้สึกผิดชอบของตนแต่ตรงกันข้ามหากปกครองโดยใช้คุณธรรมนำประชาชนสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยนิติธรรมเนียมจารีตประเพณีประชาชนก็จักมีความละอายต่อความชั่วด้วยความรู้สึกผิดชอบของตนเองทั้งยังจะก้าวหน้าไปสู่ความดีเบื้องสูงอีกด้วย


ผู้ปกครองหรือรัฐที่ฉลาดจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าตนตกเป็นเป้าสายตาของประชาชนหากทำดีให้ประชาชนเห็นประชาชนก็จะยกย่องแต่ถ้าทำไม่ดีให้ประชาชนเห็นประชาชนก็จะเหยียบย่ำเพราะฉะนั้นผู้นำหรือรัฐบาลที่ดีที่ฉลาดจะต้องทำตัวเป็นตัวอย่างในทางดีเพื่อให้ประชาชนเห็นดังที่จื่อลู่กับขงจื๊อสนทนากันดังต่อไปนี้


จื่อลู่นักปกครองที่ดีนั้นเป็นอย่างไร” ขงจื๊อนักปกครองที่ดีย่อมทำตนให้เป็นตัวอย่างของประชาชนในงานที่ต้องเกณฑ์ประชาชนทำอย่างเหน็ดเหนื่อยก็จงเป็นผู้เนื่องเสียก่อนเขาเหล่านั้น


ขงจื๊อกล่าวถึงวิธีสัมฤทธิผลของการปกครองไว้ ประการคือ

  1. มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อประชาชนประชาชนก็จะให้เกียรติเขา
  2. มีความโอบอ้อมอารีต่อประชาชนประชาชนก็ย่อมจะภักดีต่อเขา
  3. มีความซื่อสัตย์ต่อประชาชนประชาชนก็จะเกิดความมั่นใจในผู้นำนั้น
  4. ทำงานอย่างเข้มแข็งจริงจังก็ย่อมมีผลงานปรากฏอยู่เสมอ
  5. สร้างพระคุณให้ประชาชนประชาชนก็พร้อมที่จะสนับสนุน


เมื่อผู้นำหรือรัฐบาลดีเป็นที่พอใจของประชาชนแล้วประชาชนก็จะรักเทิดทูนผู้นำหรือรัฐบาลนั้นทั้งจะถือผู้นำหรือรัฐบาลคนนั้นเป็นแบบอย่างเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้นำหรือรัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องใช้พระเดชปกครองบ้านเมืองความดีของผู้นำหรือรัฐบาลจะเป็นหลักประกันเกิดเป็นแรงดึงดูดให้ประชาชนทำตามดุจฝูงโคก็ย่อมไปตามจ่าฝูงฉันนั้นดังที่หลีคังจื้อถามขงจื๊อว่าจะฆ่าพวกทุจริตให้หมดเพื่อรักษาคนสุจริตให้อยู่อย่างปกติสุขจะดีหรือไม่


ขงจื๊อถ้าท่านเป็นผู้ปกครองที่ดีทำไมจะต้องใช้วิธีฆ่าฟันกันด้วยเล่าถ้าท่านทำตัวให้ดีประชาชนก็จะถือเอาเป็นแบบอย่างเองผู้ปกครองเหมือนลมประชาชนดุจหญ้าธรรมดาหญ้าย่อมลู่ไปตามลม” ขงจื๊อมีความเห็นว่าผู้ปกครองที่ดีจะต้องฟังเสียงประชาชนถือเสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ประชาชนต้องการอะไรก็ต้องตอบสนองอย่างนั้นเป็นฝ่ายประชาชนตลอดเวลาดังที่ขงจื๊อกล่าวว่าสิ่งใดที่ประชาชนพอใจเราจงพอใจสิ่งใดที่ประชาชนเกลียดชังเราก็จงเกลียดชังผู้ใดทำอย่างนี้ผู้นั้นเชื่อว่าเป็นบิดามารดาของประชาชน” ถ้าใครทำได้ดังกล่าวก็จะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้นานเพราะไม่ถูกเล่นงานจากประชาชนแต่ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะหลุดจากตำแหน่งในเร็ววันดังที่ขงจื๊อกล่าวว่าผู้ที่ได้ประชาชนไว้ก็เท่ากับได้รัฐไว้ส่วนผู้ที่ละทิ้งประชาชนก็เท่ากับเสียรัฐไปด้วย” ข้อนี้แสดงว่าเสียงประชาชนมีความสำคัญกว่าสิ่งใดหมดผู้นำหรือรัฐบาลก็ต้องฟังเสียงประชาชนใช้เสียงประชาชนเป็นปรอทวัดอุณหภูมิของการปกครองตัดอย่างอื่นพอตัดได้แต่จะตัดเสียงประชาชนนั้นไม่ได้ดังที่จื่อก้งถามขงจื๊อดังต่อไปนี้

จื่อก้ง จะปกครองรัฐอย่างไรจึงจะดี

ขงจื๊อ จงปกครองให้ประชาชนมีอาหารกินสมบูรณ์มีกองทัพเข้มแข็งและให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐบาล

จื่อก้ง หากจำเป็นต้องตัดออกสักข้อจะตัดข้อไหนก่อน

ขงจื๊อ ตัดกองทัพออก

จื่อก้ง หากจำต้องตัดอีกในข้อจะตัดข้อไหน

ขงจื๊อ ตัดอาหารออกเพราะมนุษย์มีความตายเป็นธรรมดาต้องตายทุกคนแม้จะต้องอดอาหารตายก็ยังดีกว่ารัฐบาลที่ประชาชนเขาไม่นิยมนับถือประเทศที่มีรัฐบาลอย่างนี้จักตั้งมั่นได้อย่างไร



ปรัชญาจริยธรรม :

ขงจื๊อมองสังคมของมนุษย์ในแง่ของความสัมพันธ์ตามทฤษฎีแบบOrganism คือสังคมประกอบขึ้นจากหน่วยย่อยคือปัจเจกชนแต่ละคนถ้าแต่ละคนเป็นคนดีสังคมก็จะดีด้วยการกระทำของแต่ละคนย่อมกระทบกระเทือนต่อสังคมเหมือนร่างกายเราประกอบขึ้นด้วยอวัยวะ(Organs) ต่างถ้าอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับอันตรายย่อมกระทบต่ออวัยวะส่วนสวม(Organism)


อนึ่งขงจื๊อมีความเห็นว่าบุคคลแต่ละคนย่อมจะมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่โดยฐานใดก็ฐานะหนึ่งและความสันพันธ์ขึ้นมูลฐานในสังคมที่ควรจะได้รับการปรับปรุงพัฒนามีอยู่หลายประการคือ

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรธิดา
  3. ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา
  4. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่
  5. ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน


ในความสัมพันธ์ประการนี้ขงจื๊อได้วางหลักจริยธรรมสำหรับปฏิบัติในฐานะนั้นไว้ดังนี้

  • ความสัมพันธ์ประเภทที่หนึ่งเมตตาสุจริตจงรักภักดี
  • ความสัมพันธ์ประเภทที่สองเมตตากตัญญูกตเวที
  • ความสัมพันธ์ประเภทที่สามรักซื่อสัตย์รับผิดชอบในหน้าที่แห่งตน
  • ความสัมพันธ์ประเภทที่สี่คารวธรรม
  • ความสัมพันธ์ประเภทที่ห้าความจริงใจ


ขงจื๊อย้ำว่า ในการอยู่ร่วมกันจะต้องปรับปรุงความสัมพันธ์ขั้นมูลฐานนี้ให้ดีเสียก่อนสังคมส่วนใหญ่จะเป็นอยู่เป็นสุข (Ordered Society) และนอกเหนือไปจากนี้ปัจเจกชนแต่ละคนต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรมดังต่อไปนี้

  1. จริยธรรมทางกาย(Morality in Action)หมายถึงจริยธรรมที่ควรปฏิบัติเพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและสังคมจริยธรรมนี้มีชื่อว่าเจิ้งหมิง(正名คือการปฏิบัติให้สมกับที่ตัวเป็น(Rectification of the name) หมายความว่าแต่ละคนย่อยจะมีความเป็นเช่นเป็นตำรวจเป็นครูเป็นนายกรัฐมนตรีฯลฯความเป็นแต่ละอย่าง(ชื่อย่อมบ่งยอกถึงหน้าที่และความรับผิดชอบฉะนั้นเมื่อเราเป็นอะไรต้องทำหน้าที่และมีความรับผิดชอบนั้นอย่างสมบูรณ์ขงจื๊อกล่าวว่าความยุ่งยากในสังคมเกิดขึ้นเพราะคนไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ส่วนมากเป็นเต่เพียงในนาม
  2. จริยธรรมทางใจMorality in Cultivationคือหลักปฏิบัติเพื่อพัฒนาจิตใจของตัวเองได้แก่
          2.1 ความรักใครเมตตา(Human Heartedness) หรือเหริน(任)หมายถึงความรักโดยไม่จำกัดขอบเขตไม่มีการแบ่งแยกเช่นเดียวกับหลักเมตตาในพระพุทธศาสนาและหลักความรักแห่งพระเจ้าDivine Love)ในศาสนาคริสต์
         2.2 สัมมาปฏิบัติ(Rightousness) หรืออี้(义)ได้แก่การกระทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกหรือควรโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือโดยแรงบังคับภายนอกที่พูดกันสั้นว่าทำความดีเพื่อความดี(Do good for the good’s sake) ขงจื๊อย้ำว่าในการกระทำของเราแม้จะกระทำในสิ่งที่ดีแต่ถ้าทำเพราะหวังสิ่งตอบแทนอย่างอื่นเช่นชื่อเสียงเงินทองจะจัดว่าเป็นสัมมาปฏิบัติ(Rightous Action) ไม่ได้เราจะต้องกระทำความดีนั้นเพื่อความดีเพราะความดีมีค่าในตัวมันเองอยู่แล้วความดีมิได้อยู่ที่ผลที่ได้รับThe Value of doing what we ought to do lies in doing itself and not in the external result


การปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าวอาจจะเป็นการยากขงจื๊อจึงวางหลักปฏิบัติสั้นเพื่อการก้าวหน้าไปสู่จริยธรรมดังกล่าวข้างต้นไว้หลักปฏิบัตินี้คือ

1. ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่ท่านปรารถนาจะให้คนอื่นปฏิบัติต่อท่าน

2. จงอย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่ท่านไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน


อนึ่งขงจื๊อกล่าวว่าผู้ที่จะปฏิบัติตามหลักจริยธรรมต่างได้อย่างไม่ท้อถอยจะต้องเป็นผู้ที่รู้จักมิ่ง(คำว่ามิ่งมีความหมายว่าโชคชะตา” หรือโองการสวรรค์ขงจื๊อให้ความหมายว่าการดำเนินชีวิตนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่พ้นวิสัยที่เราจะควบคุมหรือลิขิตมันเป็นอย่างที่มันจะเป็นเช่นเดียวกับที่ชาวพุทธพูดกันว่ามันเป็นกรรม” ฉะนั้นในการครองชีวิตเราจะต้องเข้าใจในสิ่งนี้เพื่อมิให้เกิดความท้อแท้ในการประกอบความดี



ปรัชญาด้านการศึกษา :อุดมคติความเป็นครู

โดยปฏิปทาของขงจื๊อเราสามารถที่จะมองเห็นอุดมคติในความเป็นครูอยู่หลายประการซึ่งอาจจะแยกแยะให้เห็นได้ดังนี้

1. การไม่หวงวิชาความยิ่งใหญ่ของขงจื๊อประการหนึ่งนั้นเห็นได้จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์คือนับตั้งแต่สมัยขงจื๊อเป็นต้นมาการศึกษาได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนหนุ่มผู้มีสติปัญญาทั้งหลายเพราะโดยการศึกษานั้นพวกเขาสามารถที่จะยกฐานะของตนเองจากกำเนิดอันต่ำต้อยไปสู่ความเป็นผู้มีศักดิ์สูงได้แสดงให้เห็นว่าขงจื๊อไม่หวังความเป็นเลิศทางวิชาการไว้เพื่อศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของตัวเองแต่ผู้เดียวขงจื๊อเองกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธที่จะอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ให้แก่ใครผู้ที่มีความกระหายอยากจะเรียนรู้เลยแม้ว่าเขาจะยากจนซึ่งอาจจะหาได้เพียงเนื้อแห้งมัดเดียวเพื่อที่จะนำมาเป็นเครื่องตอบแทนน้ำใจ

2. ไม่หลงตัวเองเพิ่มพูนความรู้อยู่เสมอดังคำกล่าวที่ขงจื๊ออธิบายดังที่ขงจื๊ออธิบายลักษณะของตนเองในฐานะที่เป็นครูว่า ไตร่ตรองสิ่งทั้งหลายด้วยดวงจิตที่สงบเพิ่มพูนความรู้ให้สูงขึ้นแม้จะศึกษารู้มาแล้วมากมาย....”

3. มีฉันทะหรือความเต็มใจในการสอนข้อความวรรคท้ายของคำกว่างที่ขงจื๊ออธบายลักษณะของตนเองในฐานะที่เป็นครูมีอยู่ว่า ไม่เคยเบื่อหน่ายในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ผู้อื่นเลย” ข้อความนี้แสดงให้เห็นความรักความเต็มใจในหน้าที่ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของคามเป็นครู

4. ประพฤติแต่สิ่งที่ดีงามขงจื๊อเป็นนักการศึกษาที่สนใจในจริยธรรมและใช้ชีวิตตารมแนวจริยธรรมหรือความดีงามที่ได้เห็นแจ้งแล้วโดยมีสติปัญญาในกรณีนี้ขงจื๊อกล่าวว่า มีคนมากมายที่กระทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องทำเช่นนั้นแต่ข้าพเจ้าไม่เหมือนผู้คนเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามากเหลือสรรเอาแต่สิ่งที่ดีงานแล้วปฏิบัติตามข้าพเจ้าก็เห็นมาก็มากศึกษาสิ่งเหล่านั้นแล้วจดจำไว้นี่เองทำให้ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้กับความรู้ที่แท้จริง


วิชาที่สอนและวัตถุประสงค์

กล่าวอย่างรวมการศึกษาที่ขงจื้อให้กับประชาชนนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจริยธรรมและศิลปะในด้านศิลปะนั้นจารีตประเพณี(礼)ดนตรี(乐)กวีนิพนธ์(诗เป็นวิชาพื้นฐานตามทัศนะขงจื้อนั้นจารีตประเพณีในฐานะที่เป็นสถาบัน” มีส่วนช่วยควบคุมจิตใจและนำความปรารถนาให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกที่ควรดนตรีเป็นเสมือนพลังอารยะ( A Civilizing Force) ที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกอันดีงามและผ่อนคลายความกำหนัดร้อนรน(Passions) กวีนิพนธ์เป็นพลังจริยธรรม(A Moral Force) ที่ช่วยกล่อมเกลาธรรมชาติของคนและบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกดีงามในด้านจริยธรรมขงจื้อกล่าวว่า อุปนิสัย(Character) ของคนเรานั้นปลูกฝังขึ้นได้โดยอาศัยกวีนิพนธ์รักษาให้มั่นคงสืบไปได้ด้วยจารีตประเพณีและทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยดนตรี


กล่าวโดยสรุปวิชาที่สอนรวมอยู่ในวรรณกรรมหรือวิทยา ๖ ประการ (The Six Classies) อันเป็นที่รวมแห่งบรรดาทางวัฒนธรรมดังได้กล่าวมาแล้วในเรื่องว่าด้วยวรรณกรรมขงจื้อวัตถุประสงค์เฉพาะ(The Specific Purpose) ของการศึกษาวิชาการทั้ง ๖ มีปรากฏอยู่ในบทนิพนธ์ขงจื้อ(Chuang Tzu) ดังนี้

  • กวีนิพนธ์เพื่อสอนอุดมคติ 
  • ประวัติศาสตร์เพื่อสอนเหตุการณ์ต่าง 
  • จารีตประเพณีเพื่อสอนจรรยาความประพฤติ
  • ดนตรีเพื่อสอนความสอดคล้องสัมพันธ์
  • ธรรมชาติวิทยาเพื่อสอนหลักพลังคู่ของ-  
  • สากลจักรวาลซุนชิวเพื่อสอนหลักการอันสำคัญของเกียรติยศและหน้าที่


วัตถุประสงค์อันสำคัญนอกเหนือจากจุดประสงค์เฉพาะวิชาดังกล่าวขงจื้อยังถือหลักว่าการศึกษานั้นย้ำความสำคัญในเรื่องการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลมากกว่าการศึกษาเพื่อความรู้และประโยชน์ของความรู้แต่เพียงด้านเดียวให้การศึกษาเพื่อบุคคลจะได้เลือกสรรเอาสิ่งที่ดีงามการเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีงามนั้นเป็นการปรับปรุงชีวิตของตนเองและของมนุษยชาติโดยส่วนรวม



วิธีการศึกษา

เกี่ยวกับวิธีการศึกษานั้นขงจื้อให้หลักสำคัญพื้นฐานไว้ประการคือ

1. ศึกษาโดยใช้ความคิดหรือเหตุผลนั่นคือในการศึกษาหาความรู้บุคคลจะต้องรู้จักคิดแยกแยะมิใช่การจำแล้วทำตามและโดยนัยเดียวกันการศึกษานั่นเองจะช่วยให้บุคคลรู้จักคิดดังคำกล่าวของขงจื้อที่ว่า

การศึกษาที่ปราศจากความคิดไร้ประโยชน์ความคิดปราศจากการศึกษาเป็นอันตราย(Study without thought is in vain ; Thought without study is dangerous)


2. กล้าเผชิญกับความเป็นจริงของตัวเองหมายความว่าผู้ศึกษาจะต้องยอมรับความเป็นจริงในแง่ที่ว่ารู้หรือไม่รู้อาจจะกล่าวได้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองศึกษาอย่ามีลักษณะที่ไม่รู้แล้วแสร้งทำเป็นรู้หรือรู้แต่เพียงผิวเผินแต่ทำตัวเป็นผู้รู้เจนจบความนี้ปรากฏชัดในคำกล่าวของขงจื้อว่า

ขอให้ข้าพเจ้าได้ชี้ทางแห่งความรู้แก่ท่านขอเพียงบอกว่ารู้เมื่อท่านรู้จริงและยอมรับว่าไม่รู้ในสิ่งที่ท่านไม่รู้นี่คือหนทางไปสู่ความรู้


ผลงานของขงจื๊อ

งานทางด้านการเขียนของขงจื๊อปรากฏอยู่ในหนังสือ สังเขปการสอนของขงจื๊อ หรือที่จีนเรียกว่า “หลุน-อฺวี่ (论语) ” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกและเรื่องราวต่าง ๆ เช่น คำพูด คำสอนของขงจื๊อและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านได้ช่วยกันงรวบรวมขึ้นหลังจากการจากไปของขงจื๊อส่วนวรรณกรรมที่ท่านได้รวบรวมขึ้นมีดังนี้

1. ชุนชิว (春秋)

2. ซือจิง (诗经)

เป็นหนังสือเกี่ยวกับบทกวีนิพนธ์ต่าง ๆ หนังสือเล่มนี้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับ Song of Solomon ในคัมภีร์ไบเบิ้ล โคลงต่าง ๆ เป็นเพลงพื้นเมืองที่ร้องกันในสมัยแรก ๆ โดยทั่วไปแล้วเป็นบทพรรณนาถึงหนุ่ม ๆ สาว ที่กำลังร้องรำทำเพลงและเล่นหยอกล้อกันด้วยความเสน่หาในฤดูใบไม้ผลิและในฤดูเก็บเกี่ยว

3. ซูจิง(书经)

เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ารวมโดยขงจื๊อเอง ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างลึงซึ้ง เป็นการประมวลคำปราศรัย คำสัตย์ปฏิญาณในพิธีกรรม

4. อิ้จิง (易经)

เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นตำนานลึกลับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งจุดหมายปลายทาง เป็นงานชิ้นแรกซึ่งได้รับความนิยมและจัดเข้าเป็นขั้นคลาสิคในสมัยต่อ ๆ มา ลักษณะเด่นตำราเล่มนี้คือ ปากัวหรือรอยสลักแปดตัวซึ่งโหรจีนให้ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ และเอ้อหยา ซึ่งเป็นปทานุกรมฉบับแรกที่พยายามอธิบายความมืดมนของตำราว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงและตำราว่าด้วยพิธีกรรม

5. หลี่จี้(礼记)

เป็นหนังสือเกี่ยวกับพิธีการต่าง ๆ เป็นการสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น วิธีที่ควรจะถือและเหนี่ยวคันศรในระหว่างที่แสดงศิลปะของสุภาพบุรุษในการยิง นอกจากนั้นก็กล่าวถึงการเรียกอันยิ่งใหญ่และทฤษฎีแห่งมัชฌิม

เมื่อพวกมองโกลเข้ายึดจีนได้ในราว ค.ศ. 1278-1368 จักรพรรดิกุบไล่ข่านก็มิได้ขัดขวางลัทธินี้ ทรงยึดหลักของขงจื๊อ ต่อมาในสมัยราชวงศ์เหม็งได้พยายามล้มล้างอิทธิพลของพวกมองโกล และรื้อฟื้นการตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ตลอดจนมีพิธีการบูชาขงจื๊อและเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาตำราขงจื๊อเป็นอย่างมาก

สมัยราชวงศ์เหม็งได้รื้อฟื้นการสอบแบบขงจื๊อคือเปิดให้มีการสอบชั้นสูงถึง 89 ครั้ง มีผู้สอบผ่านการสอบชั้นสูงเพียง 280 คน มีการยกส่วนต่าง ๆ ของตำราขงจื๊อมาเขียนตีความและวิจารณ์ โดยยึดแบบของชูชีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ้องเป็นหลัก

ลัทธิขงจื๊อนี้มีชื่อเสียงมาก และเผยแพร่เข้าไปในหมู่พวกแมนจูโดยพวกแมนจูใช้หลักของขงจื๊อในการปกครองจีน จะเห็นได้ว่าไม่ว่าพวกมองโกลหรือแมนจูก็ตามที่มีอำนาจยึดครองจีนได้ ต่างก็ตระหนักดีว่า การที่จะปกครองจีนได้จะต้องธำรงไว้ซึ่งอารยธรรมตลอดจนลัทธิขงจื๊อที่ชาวจีนยึดถือปฏิบัติกัน

อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อ

ปรัชญาขงจื๊อ ได้มีอิทธิพลต่อชาวจีนอย่างใหญ่หลวงรอบด้าน คำสอนของขงจื๊อถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต และเป็นมาตรฐานของสังคม ความรู้สึกนึกคิดของชาวจีนจะแนบแน่นอยู่กับปรัชญาขงจื๊อ งานนิพนธ์ของขงจื๊อ ถือกันว่าเป็นวรรณกรรมชั้นสูง และเป็นหลักสูตรใช้ศึกษากันในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกทั้งเป็นวิชาสำหรับสอบไล่ของทางราชการอีกด้วย ปรัชญาขงจื๊อทำให้ชาวจีนมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนหลายอย่าง เช่น

1. ชาวจีนให้ความสำคัญในเรื่องครอบครัวมาก ถือว่าครอบครัวเป็นรากฐานของสังคม จึงพยายามสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น เป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบด้วยคนหลายรุ่น ทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ลูก หลาน เหลน ทั้งในภาษาจีนก็เอื้ออำนวย คือมีคำบอกลำดับญาติไว้อย่างชัดเจน ว่าใครมีความสัมพันธ์กันอย่างไร มาจากสายไหน สืบสายมาจากบิดา หรือมารดา ดุจคำว่าน้าและอา ในภาษาไทยฉันนั้น รวมความแล้ว ชาวจีนให้ความสำคัญต่อญาติมาก

2. ชาวจีนให้เกียรติผู้สูงอายุ ทั้งใช้สรรพนามให้เหมาะสมกับวัย เรียกพี่ ป้า น้า อา เป็นต้น แม้ต่อคนที่ไม่ใช่ญาติ ดุจเดียวกับธรรมเนียมไทย คนจีนมีลูกหลานแล้วมักจะไว้หนวดเพื่อแสดงว่าตัวแก่แล้ว

3. ชาวจีนให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว จะต้องดูแลสถานที่ฝังศพบรรพบุรุษให้ดี ตลอดถึงคอยเซ่นไหว้อยู่เสมอ และให้ดีด้วย

4. ชาวจีนนิยมยกย่องครูบาอาจารย์ไว้สูง แต่ไม่นิยมยกย่องทหาร ชาวจีนให้ความสำคัญต่อผู้ใช้ความรู้มากกว่าผู้ใช้กำลัง ตามคำสอนของขงจื๊อ

5. ชาวจีนไม่ชอบมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่จะพยายามตกลงปรองดองกันให้ได้


เหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นปรัชญาขงจื๊อจึงเป็นแม่แห่งวัฒนธรรมจีนตลอดมากว่า 2,000 ปี ส่วนสาเหตุที่ทำให้อิทธิพลของปรัชญาขงจื๊อต้องเสื่อมไปก็มี 2 ครั้งใหญ่ คือ

  • ครั้งที่ 1 เมื่อขงจื๊อสิ้นชีพแล้วได้ 200 ปีเศษ หรือพุทธศตวรรษที่ 3 จิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์แห่งนครฉี ทรงปราบรัฐใหญ่ ๆ 6 รัฐหมดแล้ว จึงปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ปกครองประเทศจีนแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ปรารถนาจะให้ราชบัลลังก์ของพระองค์ยั่งยืนอยู่ชั่วกาลนาน ทรงเห็นชอบกับคำแนะนำของ หลีซือ นายกรัฐมนตรีว่า บรรดาศาสนาและปรัชญาต่าง ๆ ทำให้คนฉลาดและมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ยากที่จะปกครอง ควรที่จะล้มเลิกศาสนาและปรัชญาเหล่านั้น จิ๋นซีฮ่องเต้จึงทรงรับสั่งให้นำคัมภีร์ของศาสนาและปรัชญาทั้งหมดมารวมกันแล้วเผาทำลายทั้งหมด กล่าวกันว่า กองไฟเผาคัมภีร์เหล่านี้ลุกโชติช่วงติดต่อกันไม่ดับเป็นเวลา 3 เดือน พวกนักปราชญ์ของศาสนาและปรัชญาถูกฆ่าถึง 460 คนเศษ ลัทธิขงจื๊อและม่อจื๊อ ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุด เพราะรัฐบาลเห็นว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 แต่ความหวังของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่จะให้ราชวงศ์ของพระองค์ยั่งยืนเป็นหมื่นปีก็พังลง เพราะหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วก็ได้เกิดกบฏล้มราชบัลลังก์ โดย หลิวปัง ขุนพลคนหนึ่งเป็นหัวหน้า ทำการได้สำเร็จจึงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าฮั่นเกาจู่ ตั้งราชวงศ์ฮั่น สืบสันตติวงศ์ต่อมา ราชวงศ์ฮั่นได้ปกครองบ้านเมืองมาตามลำดับ จนถึงพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 5 ทรงฟื้นฟูปรัชญาขงจื๊อขึ้นใหม่ และทรงให้การสนับสนุนเป็นการใหญ่ ปรัชญาขงจื๊อจึงได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
  • ครั้งที่ 2 เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ ศาสนาขงจื๊อได้รับความกระทบกระเทือนมากในยุคนี้ บางครั้งทางการได้รณรงค์ให้กำจัดศาสนา โดยเฉพาะศาสนาขงจื๊อทางการถือว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 เพราะขงจื๊อสอนให้อนุรักษ์จารีตประเพณี และเน้นเรื่องความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ


ศาสนิกชนศาสนาขงจื๊อไม่กล้าแสดงตนอย่างเปิดเผย เกรงมีภัยต่อตนเอง อิทธิพลของศาสนาขงจื๊อจึงลดลงตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้นในส่วนลึกของหัวใจ คนส่วนใหญ่ก็ยังนับถือศาสนาขงจื๊ออยู่ อิทธิพลของศาสนาขงจื๊อถึงจะเสื่อมไปจากแผ่นดินใหญ่ แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ในประเทศจีนคณะชาติ เพราะรัฐบาลของประเทศจีนคณะชาติบนเกาะไต้หวัน ได้ให้เกียรติยกย่องขงจื๊อ เช่น พ.ศ. 2495 รัฐบาลได้เปลี่ยนวันครูแห่งชาติ จากวันที่ 17 สิงหาคม มาใช้วันเกิดของขงจื๊อ คือวันที่ 28 กันยายน แทน และเมื่อถึงวันนี้ทางการจะหยุดงาน 1 วัน เพื่อให้เกียรติต่อศาสดาของศาสนาขงจื๊อ นอกจากนี้ยังได้ให้เงินเดือนเป็นค่าครองชีพแก่ผู้สืบสกุลขงจื๊ออีกด้วย

~~~~~~~~~~

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..