"ตาย"อย่างมีค่าเป็นอย่างไร?
เสียงเพลง... เสียงร้องไห้... ถ้อยคำสรรเสริญอ้อมกอดของผู้คนที่มีหัวอกเดียวกันไม่ได้ทำให้งานศพของเดวิดเซิ่งแตกต่างจากพิธีศพทั่วไปในไต้หวันความแตกต่างที่โดดเด่นเป็นพิเศษเพียงอย่างเดียวก็คือเดวิดเป็นเจ้าของงานศพที่ยังมีลมหายใจอยู่.!!!
แล้วเขาจัด"งานศพ" ของตัวเองขึ้นมาทำไม?
เดวิดหนุ่มฉกรรจ์วัย25 บอกกับนักข่าวเอเอฟพีในกรุงไทเปว่า
"..ผมไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วันผมจึงอยากจะจัดพิธีศพให้ตัวเองเพื่อประกาศความปรารถนาครั้งสุดท้ายที่ผมอยากบริจาคร่างกายให้โรงพยาบาลเพื่อเป็นประโยชน์ทางการแพทย์" -หนุ่มน้อยซึ่งกำลังป่วยหนักจากโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาและทำให้เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่ยังเด็กจากกล้ามเนื้ออ่อนแรงและทำให้ทุกวันนี้เขาต้องนั่งหายใจรวยรินอยู่บนรถเข็นบอก
ทั้งนี้ในเอเอฟพีเล่าว่า“ลิฟวิ่งฟิวเนอรัล” หรือ“งานศพคนเป็น” อย่างเช่นเดวิดกำลังได้รับการตอบรับมากขึ้นเรื่อยๆจากผู้คนที่ป่วยหนักสำหรับเดวิดชายชาวเมืองเกาเสียงเขาได้จัดพิธีศพขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาท่ามกลางสมาชิกในครอบครัวหมอและนักเรียนแพทย์ร่วม100 คนจากโรงเรียนแพทย์ที่จะได้รับร่างไร้วิญญาณของเขาเมื่อ"วันนั้น" มาถึง
"ผม..อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแต่ผมก็มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและผู้คนมากมายที่ห่วงใยผมผมได้เรียนจบมหาวิทยาลัยได้เขียนหนังสือ...ไม่ได้ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ผมคิดว่าสิ่งสำคัญในชีวิตคนเรามันอยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าเราจะอยู่ได้นานแค่ไหนดังนั้นเราจึงควรใช้เวลาที่เรามีให้เต็มทีและทำสิ่งดีๆไว้"
บาทหลวงพอลชานวัย85 ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนความคิดนี้และเคยจัดพิธีศพ"กู๊ดบายทัวร์" ของตัวเองขึ้นเมื่อปี2550 ซึ่งบาทหลวงได้มีโอกาสพูดในสิ่งที่อยากจะพูดรวมทั้งได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์การต่อสู้รับมือกับโรคมะเร็งปอดกับเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน
"..เราหวังว่าสิ่งที่พวกเราทำจะเป็นแรงบันดาลให้ผู้ป่วยหนักไม่กลัวความตายและช่วยพวกเขาจัดพิธีศพเพื่อบอกลาครอบครัวบุคคลอันเป็นที่รักอย่างที่เขาจะจัด" -โจชิงหัวหัวหน้ามูลนิธิโจวต้ากวนซึ่งสนับสนุนไอเดียจัดพิธีศพคนเป็นบอก
สำหรับรูปแบบ”งานศพคนเป็น” อาจเรียบง่ายมากมีแค่การกล่าวถ้อยความในใจที่เจ้าของงานศพอยากจะพูดเท่านั้นหรืออาจจัดขึ้นในรูปแบบงานคอนเสิร์ตเป็นทริปเดินทางหรืองานนิทรรศการภาพวาดที่มี"ความหมาย" ต่อคนที่รู้ตัวดีว่าความตายกำลังคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ
"พวกเขา..มีโอกาสได้พูดถึงสิ่งที่พวกเขาอยากจะบอกให้คนอื่นรู้และได้ทำสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำก่อนที่มันจะสายไปอีกทั้งการได้ฟังคำสรรเสริญต่างๆขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ยังสามารถช่วยให้พวกเขามีกำลังใจและเผชิญหน้ากับช่วงสุดท้ายของชีวิตได้อย่างผ่อนคลาย" โจบอก
และนั่นก็เป็นสิ่งที่พ่อของเดวิดเห็นด้วยและว่าลูกชายมีกำลังใจดีขึ้นมากหลังจากพิธีศพ
"มีกำลังใจ..หลั่งไหลมาล้นหลามมีคนมากมายโทรศัพท์มาให้กำลังใจเดวิดหรือเดินทางมาเยี่ยมเมื่อพวกเขารู้ข่าวสิ่งเหล่านี้ทำให้เดวิดเข้มแข็งขึ้นมีศรัทธากล้าแกร่งขึ้นด้วย" -แซมเซิ่งเล่า
ในเอเอฟีบอกว่าพิธีศพคนเป็นได้สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดใจยอมรับเรื่องความตายในไต้หวันซึ่งในอดีตนั้นแม้แต่การพูดถึง"ความตาย" ยังมีความเชื่อว่าจะนำโชคร้ายมาให้การเตรียมพร้อมวางแผนจัดเตรียมงานศพของตัวเองยิ่งเป็น"ข้อห้าม" ที่ห้ามทำเด็ดขาด.!!!
"แต่เดี๋ยวนี้..มีคนมากขึ้นที่เต็มใจพูดถึงเรื่องตายมีการจัดทำพินัยกรรมและวางแผนว่าอยากให้จัดพิธีศพยังไง" -หยางกั้วฉูอาจาร์ยมหาวิทยาลัยหนานฮัวเล่า
หยางให้ความเห็นว่า..ทัศนคติที่เปลี่ยนไปเป็นผลมาจากการศึกษาเรื่องความตายซึ่งมีการสอนกันในโรงเรียนขณะที่รัฐบาลก็สนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนมีการวางแผนถึงเรื่องนี้กันไว้เพื่อลดความขัดแย้งเรื่องมรดก
"งานศพคนเป็น..มีผลดีหลายอย่างอาทิช่วยให้คนป่วยรู้สึกสบายใจขึ้นและลบล้างความเชื่อข้อห้ามเก่าๆเกี่ยวกับความตายผมไม่คิดว่าพิธีแบบนี้จะสามารถมาแทนที่พิธีศพตามประเพณีได้หรอกแต่ก็อาจเป็นไปได้ถ้าหากสักวันหนึ่งสังคมเรามีค่านิยมมุมมองขนบธรรมเนียมประเพณีในเรื่องนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง"
"ตอนนี้..ผมไม่มีความเสียใจใดๆเลยผมพร้อมจะตายเมื่อไรก็ได้และเมื่อถึงวันที่ผมจากไปผมอยากให้ครอบครัวจัดงานปาร์ตี้ค็อกเทลฉลองการจากไปของผมแทนการมานั่งเศร้าเสียใจ" -เดวิดกล่าวทิ้งท้าย
(ปัจจุบันน้ำหนักตัวลดเหลือแค่23 กิโลกรัมต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงมีถุงออกซิเจนช่วยหายใจ)
ที่มา: คอลัมน์ร่อนตามลม หนังสือพิมพ์มติชน http://lifebhavana.net/
~~~~~~~~~~~~~