เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

หลักคำสอนในพระพุทธศาสนา

0

[บทโอวาทปาติโมกข์]


สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง

(การไม่ทำบาปทั้งปวง)


กุสะลัสสูปะสัมปะทา

(การทำกุศลให้ถึงพร้อม)


สะจิตตะปะริโยทะปะนัง

(การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ)


เอตังพุทธานะสาสะนัง

(นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย)




ขันตีปะระมังตะโปตีติกขา

(ขันติคือความอดกลั้นเป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง)


นิพพานังปะระมังวะทันติพุทธา

(ผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง)


นะหิปัพพะชิโตปะรูปะฆาตี

(ผู้กำจัดสัตว์อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต)


ะมะโณโหติปะรังวิเหฐะยันโต

(ผู้ทำลายสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ)




อะนูปะวาโทอะนูปะฆาโต

(การไม่พูดร้ายการไม่ทำร้าย)


ปาติโมกเขจะสังวะโร

(การสำรวมในปาติโมกข์)


มัตตัญญุตาจะภัตตัสมิง

(ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค)


ปันตัญจะสะยะนาสะนัง

(การนอน-การนั่งในที่อันสงัด)


อะธิจิตเตจะอาโยโค

(หมั่นประกอบในการทำจิตให้ยิ่ง)


เอตังพุทธานะสาสะนัง

(นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย)

 - พระพุทธพจน์-



[ขยายความ]

เมื่อว่าด้วยคำสอนในโอวาทปาติโมกข์มักถูกกล่าวถึงหลักธรรมอย่างเพียงเรื่องเดียวว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างไรก็ตามพระพุทธพจน์คาถากึ่งอาจสรุปใจความได้เป็นส่วนคือหลักการอุดมการณ์และวิธีการ


[คาถาแรก]

กล่าวถึง"หลักการอันเป็นหัวใจสำคัญ” เพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวงโดยย่อหรือหลักการ3เป็นการสรุปรวบยอดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอันเป็นแนวทางที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติได้แก่

  1. การไม่ทำบาปทั้งปวง(ศีลคือการรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อยหิริ-โอตัปปะคือการละบาปละอายต่อบาปทั้งปวงด้วยการเอาสติกำกับทุกอิริยาบถคิดพูดทำอย่าให้ผิดต่อศีลและธรรมธรรมบทนี้จะทำให้ใจสบายไม่เศร้าหมองใจเป็นปกติ
  2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม(การทำความฉลาดให้ถึงพร้อมธรรมบทนี้จะทำให้จิตสงบสบายผ่องใส
  3. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์(เจริญสติด้วยการภาวนาพอจิตเป็นสมาธิแล้วก็ถอยออกมาเดินมรรคด้วยปัญญาธรรมบทนี้จะทำให้จิตรู้จิตจิตฉลาดในการแก้ปัญหาและจิตจะผ่องใสจากการเห็นทุกข์และปล่อยวางจากสิ่งที่พิจารณาในธรรมต่างๆเห็นตามความเป็นจริงและไม่ยึดมั่นถือมั่น


ทั้งหมดต้องปฏิบัติไปพร้อมกัน(รวมเป็นหนึ่งเดียวกันศีลที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีอภัยทานอภัยทานที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีปัญญาที่แท้จริง  และปัญญาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีศีลที่แท้จริงขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องก็เกิดขึ้นไม่ได้การที่บุคคลจะพ้นทุกข์ไปได้ต้องอาศัยศีลเป็นเครื่องกั้นความเศร้าหมองอย่างหยาบสมาธิเป็นเครื่องสกัดกั้นกิเลสอย่างกลางปัญญาคือเครื่องประหารกิเลสอย่างละเอียดซึ่งศีลสมาธิปัญญาขึ้นอยู่กับสติเป็นสำคัญถ้าขาดสติกำกับแล้วทุกอย่างก็ล้มเหลว 


ดังนั้นบุคคลควรมีสติทุกเมื่อพึงละเว้นจากความเศร้าหมองที่เกิดจากกิเลสที่จะเข้ามาแทรกใจและพึงฝึกเจริญสมาธิให้ตั้งมั่นแล้วค่อยพิจารณาธรรมในแต่ละขั้นของภูมิจิตตัวเองแล้วจะรู้เองเห็นเองโดยไม่ต้องสงสัยตามสวากขาตะธรรม’ คือตรัสไว้ชอบแล้ว



[คาถาที่สอง]

กล่าวถึงอุดมการณ์อันสูงสุดของพระภิกษุและบรรพชิตในพระพุทธศาสนานี้มีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่นอันอาจเรียกได้ว่าอุดมการณ์4ของพระพุทธศาสนาได้แก่

  1. ความอดทน-อดกลั้นเป็นสิ่งที่นักบวชในศาสนานี้พึงยึดถือและเป็นสิ่งที่ต้องใช้เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจทุกอย่างที่ต้องเจอในชีวิตนักบวชเช่นประสงค์ร้อนได้เย็นประสงค์เย็นได้ร้อน
  2. การมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวชมิใช่สิ่งอื่นนอกจากพระนิพพาน
  3. พระภิกษุและบรรพชิตในพระธรรมวินัยนี้(ภิกษุภิกษุณีสามเณรสามเณรีสิกขมานาไม่พึงทำผู้อื่นให้ลำบากด้วยการเบียดเบียนทำความทุกข์กายหรือทุกข์ทางใจไม่ว่าจะในกรณีใดๆ
  4. พึงเป็นผู้มีจิตใจสงบจากอกุศลวิตกทั้งหลาย(ความโลภความโกรธความหลงเป็นต้น)



[คาถาที่สาม]

กล่าวถึงวิธีการที่(พระธรรมทูต)ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นกลยุทธที่ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งมีเป็นจำนวนมากให้ใช้วิธีการ6ข้อเหมือนกันเพื่อจะได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันถูกต้องและเป็นธรรมได้แก่ 

  1. การไม่กล่าวร้าย(ด้วยการไม่กล่าวร้ายโจมตีดูถูกความเชื่อผู้อื่น)
  2. การไม่ทำร้าย(ด้วยการไม่ใช้กำลังบังคับข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ)
  3. ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์(รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส)
  4. ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค(เสพปัจจัยอย่างรู้ประมาณพอเพียง)
  5. นั่ง-นอนในที่อันสงัด(สันโดษ-ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ)
  6. ความเพียรในอธิจิต(พัฒนาจิตใจให้ยิ่งๆขึ้นด้วยสมถะและวิปัสสนามิใช่ว่าเอาแต่สอนผู้อื่นแต่ตนเองไม่กระทำตามที่สอน)



~~~~~~~~~~~~~~~

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..