เพื่อยกระดับความรู้ สู่สังคมอุดมป้ญญา

มูลเหตุเกิดมงคลปัญหา

0

เล่ากันมาว่าในชมพูทวีปมหาชนชุมนุมกันในที่นั้นๆ เช่นใกล้ประตูเมือง สภาแห่งสถานราชการเป็นต้น  มอบทรัพย์สินเงินทองให้เขาเล่าเรื่องต่างๆเช่น เรื่องนำนางสีดามาเป็นต้นเรื่องหนึ่งๆเล่าอยู่ถึงเดือนจึงจบในสถานที่นั้น วันหนึ่งเรื่องมงคลปัญหาก็เกิดขึ้นว่าอะไรเล่าหนอเป็นมงคล’  สิ่งที่เห็นหรือเป็นมงคล  เรื่องที่ได้ยินหรือเป็นมงคล  หรือเรื่องที่ทราบเป็นมงคล  ใครหนอรู้จักมงคล  ดังนี้


ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่ง ชื่อ ทิฏฐมังคลิกะ[นับถือสิ่งที่เห็นเป็นมงคลกล่าวว่าข้าพเจ้ารู้จักมงคล  สิ่งที่เห็นเป็นมงคลในโลกรูปที่สมมติกันว่าเป็นมงคลยิ่ง  ชื่อว่าทิฏฐะ


รูปอย่างไรเล่า?   

..คนบางคนในโลกนี้  ตื่นแต่เช้าเห็นนกกระเต็นบ้าง  เห็นต้นมะตูมรุ่นบ้าง  เห็นหญิงมีครรภ์บ้าง   เห็นเด็กรุ่นหนุ่ม  ตกแต่งประดับกาย  เทินหม้อเต็มน้ำบ้าง  ปลาตะเพียนแดงสดบ้าง  ม้าอาชาไนยบ้าง รถเทียมม้าบ้างโคผู้บ้างโคเมียบ้าง โคแดงบ้าง  ก็หรือว่าเห็นรูปแม้อื่นใด เห็นปานนั้น ที่สมมติกันว่าเป็นมงคลยิ่งรูปที่เห็นนี้  เรียกว่าทิฏฐิมงคล


คนบางพวกก็ยอมรับคำของเขา  บางพวกก็ไม่ยอมรับ  พวกที่ไม่ยอมรับ ก็ขัดแย้งกับเขา


ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่ง ชื่อ สุตมังคลิกะ  ก็กล่าวว่า  ท่านเอย  ขึ้นชื่อว่าตาย่อมเห็นของสะอาดบ้าง    ของไม่สะอาดบ้าง ของดีบ้างของไม่ดีบ้าง ของชอบใจบ้างของไม่ชอบใจบ้าง  ผิว่ารูปที่ผู้นั้นเห็นพึงเป็นมงคลไซร้  ก็จะพึงเป็นมงคลทั้งหมดนะสิ  เพราะฉะนั้น รูปที่เห็นไม่เป็นมงคลก็แต่ว่าเสียงที่ได้ยินต่างหากเป็นมงคลเสียงที่สมมติว่าเป็นมงคลยิ่งชื่อว่าสุตะ  


อย่างไรเล่า?

คนบางตนในโลกนี้ ลุกขึ้นแต่เช้า ได้ยินเสียงเช่นนี้ว่าเจริญแล้ว เจริญอยู่เต็ม  ขาว  ใจดี  สิริ  เจริญด้วยสิริ  วันนี้ฤกษ์ดี ยามดี วันดี มงคลดีหรือเสียงที่สมมติว่ามงคลยิ่งอย่างใดอย่างหนึ่งเสียงที่ได้ยินนี้  เรียกว่าสุตมงคล.  


บางพวกก็ยอมรับคำของเขา  บางพวกก็ไม่ยอมรับ  พวกที่ไม่ยอมรับ ก็ขัดแย้งกับเขา


ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่ง  ชื่อ มุตมังคลิกะ   กล่าวว่า  ท่านเอย  แท้จริงขึ้นชื่อว่าหูย่อมได้ยินเสียงดีบ้างไม่ดีบ้าง ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง  ผิว่าเสียงที่ผู้นั้นได้ยินพึงเป็นมงคลไซร้ก็จะเป็นมงคลทั้งหมดนะสิเพราะฉะนั้นเสียงที่ได้ยินจึงไม่เป็นมงคลก็แต่ว่าสิ่งที่ทราบแล้วต่างหากเป็นมงคลกลิ่นรสและโผฏฐัพพะสิ่งที่พึงถูกต้อง ชื่อว่ามุตะ


อย่างไรเล่า?

คนบางคนลุกแต่เช้าสูดกลิ่นดอกไม้มีกลิ่นดอกปทุมเป็นต้นบ้าง เคี้ยวไม้สีฟันขาวบ้าง จับต้องแผ่นดินบ้าง จับต้องข้าวกล้าเขียวบ้าง มูลโคสดบ้าง เต่าบ้าง งาบ้าง ดอกไม้บ้าง ผลไม้บ้าง  ฉาบทาด้วยดินขาวโดยชอบบ้าง  นั่งผ้าขาวบ้าง  โพกผ้าโพกขาวบ้าง  ก็หรือว่าสูดกลิ่น  ลิ้มรส  หรือถูกต้องโผฏฐัพพะ ที่สมมติว่าเป็นมงคลยิ่งอย่างอื่นใดเห็นปานนั้น สิ่งดังกล่าวมานี้ เรียกว่ามุตมงคล


บางพวกก็ยอมรับคำแม้ของเขา  บางพวกก็ไม่ยอมรับ


ในสามพวกนั้น  ทิฏฐิมังคลิกบุรุษ  ก็ไม่อาจทำให้สุตมังคลิกบุรุษและมุตมังคลิกบุรุษยินยอมได้  ทั้งสามฝ่ายนั้น ฝ่ายหนึ่งก็ทำอีกสองฝ่ายให้ยินยอมไม่ได้ 


บรรดามนุษย์เหล่านั้น พวกใดยอมรับคำของทิฏฐิมังคลิกบุรุษ  พวกนั้นก็ถือว่ารูปที่เห็นแล้วเท่านั้นเป็นมงคลพวกใดยอมรับคำของสุตมังคลิกบุรุษและมุตมังคลิกบุรุษ  พวกนั้นก็ถือว่าเสียงที่ได้ยินเท่านั้นเป็นมงคล  สิ่งที่ได้ทราบเท่านั้นเป็นมงคล


เรื่องมงคลปัญหานี้ ปรากฏไปทั่วชมพูทวีป  ด้วยประการฉะนี้


ครั้งนั้น  มนุษย์ทั่วชมพูทวีปถือกันเป็นพวกๆพากันคิดมงคลทั้งหลายว่า  ‘อะไรกันหนอเป็นมงคล’    


อารักขเทวดาของมนุษย์พวกนั้น ฟังเรื่องนั้นแล้วก็พากันคิดมงคลทั้งหลายเหมือนกันเหล่าภุมมเทวดา เป็นมิตรของเทวดาเหล่านั้น  ฟังเรื่องจากอารักขเทวดานั้นแล้ว  ก็พากันคิดมงคลอย่างนั้นเหมือนกันอากาสัฏฐกเทวดาเป็นมิตรของเทวดาเหล่านั้นจตุมหาราชิกเทวดาเป็นมิตรของอากาสัฏฐกเทวดาเหล่านั้น   โดยอุบายนี้  ตราบถึงอกนิฏฐเทวดาเป็นมิตรของสุทัสสีเทวดา  ฟังเรื่องจากสุทัสสีเทวดานั้นแล้ว  ก็ถือกันเป็นพวกๆพากันคิดมงคลทั้งหลาย  ด้วยอุบายอย่างนี้   การคิดมงคลได้เกิดไปในที่ทุกแห่งจนถึงหมื่นจักรวาลก็การคิดมงคลเกิดขึ้นแล้ว แม้วินิจฉัยว่านี้เป็นมงคลนี้  เป็นมงคลแต่ก็ยังไม่เด็ดขาด   จึงตั้งอยู่ถึง๑๒ปี


ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดาทั้งพรหมหมดด้วยกันเว้นพระอริยสาวกแตกเป็นพวก  คือทิฏฐมังคสิกะ  สุตมังคลิกะและมุตมังคลิกะ  แม้แต่พวกหนึ่ง  ก็ตกลงตามเป็นจริงไม่ได้ว่า  นี้เท่านั้นเป็นมงคล   


มงคลโลกาหล การแตกตื่นเรื่องมงคลเกิดขึ้นแล้วในโลก  ขึ้นชื่อว่า โกลาหลมี   คือ  

  1. กัปปโลาหล  
  2. จักกวัตติโกลาหล 
  3. พุทธโกลาหล   
  4. มงคลโกลาหล   
  5. โมเนยยโกลาหล.   


บรรดาโกลาหลทั้งนั้น เหล่าเทวดาชันกามาวจร  ปล่อยศีรษะ  สยายผม   ร้องไห้   เอาหัตถ์เช็ดน้ำตา  นุ่งผ้าสีแดง   ทรงเพศแปลกๆอย่างยิ่ง   เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์  ร้องบอกกล่าวว่า ล่วงไปแสนปีกัปจักปรากฏ โลกนี้จักพินาศ  มหาสมุทรจักแห้ง มหาปฐพีนี้และขุนเขาสิเนรุ   จักถูกไฟไหม้จักพินาศ โลกพินาศจักมีจนถึงพรหมโลก 


..ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ขอท่านทั้งหลายจงพากันเจริญเมตตาไว้เถิดจงพากันเจริญกรุณา  มุทิตา  อุเบกขา  ไว้เถิดท่านผู้นิรทุกข์จงบำรุงมารดาบิดา จงยำเกรงท่านผู้เป็นผู้ใหญ่ในตระกูล  ตื่นกันเถิดอย่าได้ประมาทกันเลยนี้ชื่อว่า กัปปโกลาหล


เทวดาชั้นกามาวจรนั่นแล เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์บอกกล่าวว่า  ล่วงไปร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักเกิดขึ้นในโลกนี้ชื่อว่า จักกวัตติโกลาห


ส่วนเทวดาชั้นสุทธาวาส  ประดับองค์ด้วยอาภรณ์พรหม โพกผ้าของพรหมที่พระเศียรเกิดปีติปราโมทย์  กล่าวพระพุทธคุณ  เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์บอกกล่าวว่าล่วงไปพันปี  พระพุทธเจ้าจักอุบัติในโลกมีชื่อว่า พุทธโกลาหล 


เทวดาชั้นสุทธาวาสนั้นแหละรู้จิตของพวกมนุษย์เที่ยวไปในถิ่นมนุษย์บอกกล่าวว่า  ล่วงไปสิบสองปี  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จักตรัสมงคลนี้ชื่อว่า  มงคลโกลาหล 


เทวดาชั้นสุทธาวาสนั่นแหละเที่ยวไปในถิ่นมนุษย์บอกกล่าวว่า  ล่วงไปเจ็ดปี  ภิกษุรูปหนึ่งสมาคมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า  จักทูลถามโมเนยยปฏิปทานี้ชื่อว่า โมเนยยโกลาหล


บรรดาโกลาหลทั้ง  นี้ มงคลโกลาหลของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วในโลก


ครั้งนั้น เมื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  พากันเลือกเฟ้นก็ยังไม่ได้มงคลทั้งหลาย  ล่วงไป๑๒ปี   เทวดาชั้นดาวดึงส์คบหาสมาคมกัน   ก็ช่วยกันคิดอย่างนี้ว่า  เจ้าของเรือนก็เป็นหัวหน้าของตนภายในเรือน เจ้าของหมู่บ้านก็เป็นหัวหน้าของชาวหมู่บ้าน  พระราชาก็เป็นหัวหน้าของมนุษย์ทั้งหลาย  ท้าวสักกะจอมทวยเทพพระองค์นี้ก็เป็นผู้เลิศประเสริฐสุดของพวกเรา คือเป็นอธิบดีของเทวโลกทั้งสอง[ชั้นจาตุมหาราชและดาวดึงส์]  ด้วยบุญ  เดช  อิสริยะปัญญาถ้ากระไร เราจะพึงพากันไปทูลถามความข้อนี้กะท้าวสักกะ จอมทวยเทพเถิด

  

เทวดาเหล่านั้น  ก็พากันไปยังสำนักท้าวสักกะ   ถวายบังคมจอมทวยเทพ ซึ่งมีพระสรีระมีสิริด้วยอาภรณ์ประจำพระองค์  อันเหมาะแก่ขณะนั้น มีหมู่อัปสร๒๕๐ โกฏิห้อมล้อม  ประทับนั่งเหนือบัณฑุกัมพลสิลาอาสน์อันประเสริฐ  ภายใต้ต้นปาริฉัตตกะ   แล้วยืน    ที่ควรส่วนหนึ่ง  ทูลว่า    ขอประทานพระวโรกาส  พระองค์ผู้นิรทุกข์  โปรดทรงทราบเถิดบัดนี้  มงคลปัญหาตั้งขึ้นแล้ว   พวกหนึ่งกล่าวว่า  รูปที่เห็นเป็นมงคล    พวกหนึ่งกล่าวว่าเสียงที่ได้ยินเป็นมงคล  พวกหนึ่งกล่าวว่าสิ่งที่ทราบแล้วเป็นมงคล  บรรดาท่านเหล่านั้น   พวกข้าพระบาทและพวกอื่นยังไม่ได้ข้อยุติ   สาธุ  ขอพระองค์โปรดทรงพยากรณ์ตามเป็นจริง   แก่พวกข้าพระบาทด้วยเถิด


ท้าวสักกะเทวราชแม้โดยปกติ   ทรงมีปัญญา   จึงตรัสว่าเรื่องมงคลนี้เถิดขึ้นที่ไหนก่อนเล่าทูลว่าข้าแต่เทวราช   พวกข้าพระบาทฟังคำของพวกเทวดาชั้นจาตุมมหาราช 


ต่อจากนั้น  พวกเทวดาจาตุมมหาราชก็ฟังคำของพวกอากาสัฏฐเทวดา   พวกอากาสัฏฐเทวดาฟังคำของพวกภุมมเทวดา  พวกภุมมเทวดาฟังคำของเทวดาผู้รักษามนุษย์พวกเทวดาผู้รักษามนุษย์กล่าวว่า  เรื่องมงคลเกิดขึ้นในมนุษยโลก

ลำดับนั้น  ท้าวสักกะจอมทวยเทพตรัสถามจอมเทวดาเหล่านั้นว่า  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ประทับอยู่ที่ไหน?

เทวดาทั้งหลายทูลว่า   ประทับอยู่ในมนุษยโลก   พระเจ้าข้า   

ตรัสถามว่า  ใครได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแลหรือ?

ทูลว่าไม่มีใคร  พระเจ้าข้า

ตรัสว่า  ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์  ทำไมหนอ?  ท่านทั้งหลาย   จึงมาทิ้งดวงไฟเสียแล้วมาตามไฟต่อจากแสงหิ่งห้อยด้วยเหตุไร   ท่านทั้งหลายจึงมาล่วงเลยพระผู้มีพระภาคเจ้า  ผู้ทรงแสดงมงคลไว้ไม่เหลือเสียเล่า  ยังเข้าใจว่าควรจะได้ถามเรา  มาเถิดท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  เราจะทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น  พวกเราคงจักได้การพยากรณ์ปัญหาอันมีสิริแน่แท้จึงมีเทวโองการใช้เทพบุตรองค์หนึ่งว่า   ท่านจงไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด

   

เทพบุตรองค์นั้นแต่งองค์ด้วยเครื่องอลังการ   อันเหมาะแก่ขณะนั้น  รุ่งโรจน์ดุจสายฟ้าแลบ    มีหมู่เทพแวดล้อม    ไปยังพระเชตวันมหาวิหาร  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนที่สมควรส่วนหนึ่ง  เมื่อทูลถามมงคลปัญหา   จึงกล่าวเป็นคาถาว่า  พหู  เทวา  มนุสฺสา     เป็นต้น.


นี้เป็นมูลเหตุเกิดมงคลปัญหา


อ้างอิงจากพระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายขุททกปาฐะเล่มภาคหน้าที่163 - 168

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)
ฉันคือพลังงานจลน์ พลวัตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น..