(การศึกษาตามลำดับลุ่มลึกลงสู่การพ้นทุกข์)
เป็นพระธรรมเทศนาที่แสดงเนื้อความลุ่มลึกลงไปโดยลําดับเพื่อขัดเกลาอัธยาศัยของผู้ฟังให้ประณีตยิ่งขึ้นจนจิตของบุคคลนั้นพร้อมที่จะเข้าใจในสัจธรรมจึงทรงแสดงอริยสัจธรรม ๔อันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอนุปุพพิกถามี๕ประการคือ
อนุปุพพิกถา๕
๑. ทานกถา
กล่าวถึงการให้การเสียสละอันเป็นเหตุแห่งความสุขทั้งหลายเป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งหลายทานย่อมให้สวรรค์สมบัติพรหมสมบัติจักรพรรดิสมบัติสาวกบารมีญาณปัจเจกโพธิญาณอภิสัมโพธิญาณทานจึงเปรียบดุจแผ่นดินใหญ่
๒. สีลกถา
กล่าวถึงความประพฤติที่ดีงามศีลย่อมให้สมบัติในโลกนี้และโลกหน้าเครื่องประดับใดจะงดงามเช่นกับผู้ที่มีศีลย่อมไม่มีกลิ่นใดจะหอมฟังทั้งตามลมและทวนลมเช่นกลิ่นของผู้มีศีลย่อมไม่มีพระพุทธองค์จึงตรัสศีลไว้ในลําดับต่อจากทาน
๓. สัคคกถา
เรื่องสวรรค์กล่าวถึงทิพยสุขทิพยสมบัติที่น่าปรารถนาอันจะพึงได้รับจากผลแห่งทานและศีลที่กระทําแล้วย่อมได้ในสวรรค์พระพุทธองค์จึงทรงแสดงสัคคกถาไว้ในลําดับต่อจากศีล
๔. กามาทีนวกถา
พระพุทธองค์ตรัสว่าแม้ความสุขในสวรรค์ก็ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนไม่ควรยินดีพอใจเพียงแค่สวรรค์เปรียบเหมือนบุคคลประดับช้างให้งดงามแล้วกลับตัดเอางวงของช้างไปจึงแสดงโทษและความต่ำทรามความเศร้าหมองของกามว่ากามทั้งหลายมีสุขน้อยมีทุกข์มากมีความคับแค้นมากพระพุทธองค์จึงตรัสกามาที่นวกถาไว้ในลําดับต่อจากสวรรค์
๕. เนกขัมมานิสังสกถา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องของทานศีลสวรรค์และโทษของกามทั้งหลายแล้วทรงแสดงอานิสงส์ของการออกจากกามชี้แจงให้เห็นคุณของเนกขัมมะคือการออกบวชเพื่อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่สิ้นทุกข์ซึ่งจักเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งโลกนี้และโลกหน้า
อริยสัจธรรม๔
เมื่อทรงทราบว่าบุคคลนั้นมีจิตที่ปราศจากกิเลสมีจิตที่ปราศจากนิวรณ์คือกามฉันทนิวรณ์เป็นต้นมีจิตที่เบิกบานผ่องใสประกอบด้วยปีติและปราโมทย์สมบูรณ์ด้วยศรัทธาในสัมมาปฏิบัติแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประกาศอริยสัจธรรม๔ประการที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองคือทุกขอริยสัจทุกขสมุทยอริยสัจทุกขนิโรธอริยสัจและทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เพื่อให้บุคคลนั้นพิจารณาเห็นสัจธรรมตรัสว่า“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา”
เมื่อบุคคลนั้นพิจารณาตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนาประจักษ์แจ้งธรรมนั้นแล้วด้วยตนเองบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อฟังคําสอนของผู้อื่นอีกนอกจากคําสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขอแสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะหรือขอบรรพชาอุปสมบทในที่สุดนี้เป็นพระมหากรุณาคุณที่พระพุทธองค์ทรงมีต่อคฤหัสถ์ผู้มีอุปนิสัยที่จะได้บรรลุธรรม(ทีฆนิกายมหาวรรคเล่ม๒/๑หน้า๖๕-๗๐)
อารัมภกถา
สมัยหนึ่งขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ณภูเขาคิชฌกูฎกรุงราชคฤห์ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายถึงเรื่องการแสวงหาพรหมจรรย์อุปมาด้วยเรื่องผู้มีความต้องการแสวงหาแก่นไม้ไว้ว่า
บุรุษคนหนึ่งปรารถนาจะแสวงหาแก่นของต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่แต่เขาละเลยแก่นละเลยกระพี้ละเลยเปลือกละเลยสะเก็ดไปเสียตัดเอาไปเพียงกิ่งและใบเข้าใจว่าเป็นแก่นไม้เพราะความที่ไม่รู้จักว่าส่วนใดเป็นแก่นแท้ของต้นไม้นั้นเปรียบเสมือนกุลบุตรผู้ออกจากเรือนแสวงหาพรหมจรรย์เพื่อกระทําที่สุดแห่งทุกข์ครั้นบวชแล้วยังยินดีอยู่ด้วยลาภยศสรรเสริญสุขชื่อว่ายังเป็นผู้ประมาทภิกษุนั้นเพียงได้ถือเอาเพียงกิ่งและใบของพรหมจรรย์เท่านั้นแล้วตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลายรู้จักการแสวงหาพรหมจรรย์ที่แท้จริงดังต่อไปนี้
สะเก็ดพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคนออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลด้วยความถึงพร้อมแห่งศีลแต่เขายกตนข่มผู้อื่นว่าเราเป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมภิกษุอื่นเป็นผู้ทุศีลมีบาปธรรมเขาย่อมมัวเมาถึงความประมาทเพราะความถึงพร้อมแห่งศีลเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่เขาถากเอาเพียงสะเก็ดของต้นไม้นั้นถือไปสําคัญว่าเป็นแก่นไม้ภิกษุนี้ตถาคตเรียกว่าบุรุษนั้นได้ถือเอาเพียงสะเก็ดของพรหมจรรย์
เปลือกของพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคนออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธาเป็นสมบูรณ์ด้วยศีลเจริญสมาธิถึงพร้อมด้วยสมาธิแต่ยกตนข่มผู้อื่นว่าเราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นมีอารมณ์เป็นหนึ่งส่วนภิกษุอื่นไม่มีจิตตั้งมั่นเขาย่อมมัวเมาถึงความประมาทด้วยความถึงพร้อมแห่งสมาธิเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่เขาถากเอาเปลือกของต้นไม้นั้นถือไปสําคัญว่าเป็นแก่นไม้ภิกษุนี้ตถาคตเรียกว่าบุรุษนั้นได้ถือเอาเพียงเปลือกของพรหมจรรย์
กระพี้แห่งพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคนออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลถึงพร้อมด้วยสมาธิเขาย่อมยังญาณทัสสนะคือมีความรู้ความเห็นให้สําเร็จเพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสสนะเขายกตนข่มผู้อื่นว่าเรารู้เราเห็นอยู่ภิกษุอื่นไม่รู้ไม่เห็นเขาย่อมมัวเมาถึงความประมาทเพราะความถึงพร้อมแห่งญาณทัสสนะเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่เขาถากเอากระพี้(ส่วนของเนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น) ของต้นไม้นั้นสําคัญว่าเป็นแก่นไม้ภิกษุนี้ตถาคตเรียกว่าบุรุษนั้นได้ถือเอาเพียงกระพี้ของพรหมจรรย์
แก่นของพรหมจรรย์
กุลบุตรบางคนออกจากเรือนบวชด้วยความศรัทธาเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีลถึงพร้อมด้วยสมาธิและญาณทัสสนะแล้วเป็นผู้ไม่ประมาทย่อมถึงซึ่งวิโมกข์(ความหลุดพ้น) บรรลุโลกุตตรธรรม๙คือมรรค๔ผล๔นิพพาน๑เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้เห็นต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่เขาเลือกถากเอาแก่นของต้นไม้นั้นถือไป
กุลบุตรผู้นี้รู้จักสะเก็ดเปลือกและกระพี้ของต้นไม้นั้นเลือกถากเอาแต่แก่นไม้ถือไปเขาได้แก่นไม้ตามประสงค์กิจที่จะทําด้วยแก่นไม้นี้จักสําเร็จประโยชน์แก่เขาฉันใดภิกษุพึงพากเพียรให้ถึงพร้อมด้วยศีลสมาธิและปัญญาก็ย่อมสําเร็จประโยชน์อันเป็นผลสูงสุดในพระพุทธศาสนาบรรลุถึงพระนิพพานพ้นจากสังสารวัฏได้ฉันนั้น
พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงพิจารณาแล้วเลือกถากเอาแต่แก่นไม้มุ่งตรงสู่โลกุตตรธรรมด้วยการขวนขวายศึกษาประพฤติปฏิบัติตามพระสัทธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเดินตามรอยพระยุคลบาทของพระบรมศาสดาและพระอริยสาวกทั้งหลายที่ท่านพบแก่นแท้แห่งพรหมจรรย์ดําเนินไปแล้วพ้นแล้วจากทุกข์ทั้งปวงในวัฏฏะ(มัชฌิมนิกายมูลปัณณาสก์๑/๒หน้า๕๕๖-๕๕๕: มหาสาโรปมสูตร)
อ้างอิง: หนังสือ“ตามรอยพระธรรมของพระบรมศาสดา” ผู้เขียนสุรีย์มีผลกิจ